ถัดจากวันคริสต์มาสก็จะเข้าสู่ช่วงเวลาที่แฟนฟุตบอลหลายคนอาจจะชอบ กับโปรแกรมการแข่งขันในช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ของศึกลูกหนังพรีเมียร์ลีก
ในปีนี้พรีเมียร์ลีกมีการโปรโมตแคมเปญแบบเน้นๆ ในชื่อ ‘The Festive Fixtures’ เพื่อสร้างการรับรู้ในหมู่แฟนกีฬาทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดใหญ่และยังถือว่าใหม่อยู่ในสหรัฐอเมริกา เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่มาที่ไปว่าทำไมโปรแกรมฟุตบอลในช่วงนี้จึงสำคัญและสนุกอย่างไร
เริ่มตั้งแต่ ‘Boxing Day’ หรือวันแกะกล่องของขวัญ ที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติเฉพาะของเกมฟุตบอลอังกฤษมาเนิ่นนาน ซึ่งจะมีเกมให้ชมต่อเนื่องตั้งแต่หัวค่ำ ตามเวลาประเทศไทย ในคู่ระหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ พบเอฟเวอร์ตัน ยาวไปยันตี 3 ในคู่ระหว่างลิเวอร์พูลพบเลสเตอร์ ซิตี้
และใช่ เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะขึ้นปีใหม่แล้ว เรายังไม่รู้เลยว่าตกลงแล้วจะมีการต่อสัญญากับ 3 ‘เสาหลัก’ ของสโมสรอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ หรือเปล่า
สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร ใครมีโอกาสจะได้ต่อบ้าง?
หลังบุกไปถล่มท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ด้วยสกอร์ขาดลอย 6-3 เมื่อเกมสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ลิเวอร์พูลกลายเป็น ‘จ่าฝูงคริสต์มาส’ อีกสมัยแล้ว แม้ว่าความขลังของมันจะแทบไม่เหลือแล้วก็ตาม เพราะใน 7 ครั้งที่พวกเขาได้ครองจ่าฝูง มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่จบลงด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก คือฤดูกาล 2019/20
อย่างไรก็ดี ฟอร์มที่น่าประทับใจ การผ่านบททดสอบทั้งความสามารถและความเข้มแข็งทางจิตใจมากมาย บวกกับการสะดุดของคู่แข่งอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ (อย่าเรียกว่าสะดุดเลย เรียกว่าเรือแตกจมน้ำเลยดีกว่า), อาร์เซนอลที่ล่าสุด บูกาโย ซากา บาดเจ็บยาว และเชลซีที่ยังไม่สม่ำเสมอ ทำให้ตอนนี้ทีมของ อาร์เน สลอต ดูราศีจับอย่างยิ่งในฐานะตัวเต็งแชมป์พรีเมียร์ลีก
แต่ระหว่างที่คิดเรื่องนี้เพลินๆ พลันหันไปมองปฏิทินแล้วก็โดนกระตุกสติทันที
นี่วันที่ 26 ธันวาคมแล้ว อีก 5 วันจะสิ้นปี และวันที่ 1 มกราคม 2025 จะมีสถานการณ์ที่น่าสนใจอย่างมาก
เพราะ 3 เสาหลักของสโมสรอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จะสามารถเปิดการเจรจากับสโมสรนอกพรีเมียร์ลีกได้อย่างอิสระ ไม่ผิดต่อกฎ โดยที่หากตกลงกันได้ก็สามารถย้ายออกจากแอนฟิลด์ได้อย่างอิสระไม่มีค่าตัวตาม ‘กฎบอสแมน’
โดยที่ล่าสุดกัปตันอย่างฟาน ไดจ์ค ซึ่งเป็นคนที่ออกมาพูดน้อยที่สุดในช่วงที่ผ่านมา ได้แสดงจุดยืนครั้งแรกว่าเขาต้องการที่จะอยู่กับสโมสรต่อไป และมั่นใจว่าจะสามารถเล่นในระดับสูงสุดได้อีกอย่างน้อย 3-4 ปี
“ผมรักสโมสร สโมสรก็รักผม ผมรักแฟนๆ แฟนๆ ก็รักผม สิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการประสบความสำเร็จ” ฟาน ไดจ์ค ให้สัมภาษณ์กับ The Times
“ในความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าผมน่าจะเล่นในระดับสูงสุดได้อีก 3-4 ปีเป็นอย่างน้อย เราจะได้เห็นกันในอนาคตว่ามันจะเป็นอย่างไร”
แต่ก่อนจะถามถึงอนาคต ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร?
ความคืบหน้าที่ไม่คืบหน้า
สถานการณ์ในการต่อสัญญาของทั้ง 3 ผู้เล่นนั้นมีความคืบหน้าที่ไม่มีความคืบหน้าสักเท่าไร
กล่าวคือตามทิศทางข่าวล่าสุดทั้งซาลาห์, ฟาน ไดจ์ค และอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ต่างได้รับข้อเสนอสัญญาฉบับใหม่จากสโมสรผ่านการเจรจากับ ริชาร์ด ฮิวจ์ส ผู้อำนวยการสโมสรคนปัจจุบัน ที่พยายามเร่งดำเนินการจัดการเรื่องนี้อย่างดีและเร็วที่สุด
อย่างไรก็ดี ตามการประเมินทิศทางข่าวล่าสุด ‘มีโอกาส’ ที่ลิเวอร์พูลจะต่อสัญญาฉบับใหม่ครบทั้ง 3 คน
ฟาน ไดจ์ค – ซาลาห์ ใกล้แล้ว?
แม้จะไม่มีการยืนยันหรือสัญญาณที่ชัดเจน แต่คนที่มีโอกาสจะต่อสัญญามากที่สุดในบรรดา 3 คนคือ ซาลาห์ ซึ่งภายหลังจากที่ออกมา ‘สะกิด’ สโมสรหลายครั้งในช่วง 1-2 เดือนก่อนหน้านี้ว่าถึงจะต้องการอยู่กับสโมสรต่อไป แต่ก็ยังไม่มีข้อเสนอใดๆ เข้ามา
แต่ล่าสุดจับอาการของกองหน้าชาวอียิปต์ที่ทำลายสถิติเป็นว่าเล่นแทบทุกสัปดาห์ ดูเหมือนเรื่องจะเงียบไปแล้ว ท่ามกลางการคาดการณ์ของกูรูการย้ายทีมหลายคนที่ค่อนข้างมั่นใจว่าดาวยิงเบอร์หนึ่งของสโมสรจะได้อยู่ในแอนฟิลด์ต่อไป
สัญญาสำหรับซาลาห์ในวัย 32 ปี จะเป็นสัญญาระยะยาว 3 ปี และแน่นอนว่ารับค่าเหนื่อยมากที่สุดในสโมสร สมฐานะ ‘The King’ ของเขา
คนต่อมาที่เรี่องมีโอกาสจบง่ายคือฟาน ไดจ์ค กัปตันทีมในวัย 33 ปี ที่ในฤดูกาลนี้กลับมาเข้าฝักเป็นเสาหลักในเกมรับที่เป็นฐานรากที่ทำให้ลิเวอร์พูลเล่นได้อย่างร้อนแรง ซึ่งคาดว่าจะมีการต่อสัญญาออกไปอีก 3 ปีเช่นเดียวกัน เท่ากับซาลาห์ที่จะอยู่กับลิเวอร์พูลจนถึงปี 2028
เพราะเป็นเด็กปั้นเลยเจ็บปวด?
คนที่ถูกจับตามองมากหน่อยว่ามีโอกาสจะย้ายออกมากที่สุดกลับเป็น เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็กขวาลูกหม้อของสโมสรที่อยู่กับทีมมาตั้งแต่ยังไม่ถึงสิบขวบ โดยมีข่าวเชื่อมโยงกับเรอัล มาดริด ที่มีเพื่อนสนิท จูด เบลลิงแฮม พยายามทำหน้าที่ ‘พ่อสื่อ’ ให้ (สลับกับเทรนต์ที่เคยมีข่าวว่าเป็นพ่อสื่อให้จูดมาแอนฟิลด์ในปีที่แล้ว)
กระแสข่าวดังกล่าวทำให้กรณีของแบ็กขวาที่เก่งกาจในการสร้างสรรค์เกมมากที่สุดของยุคสมัยเรื่องดูยากกว่า เพราะในวัย 26 ปี เทรนต์ประสบความสำเร็จกับลิเวอร์พูลมามากมาย คว้าแชมป์ครบถ้วนทุกรายการไม่ว่าจะเป็นพรีเมียร์ลีก, แชมเปียนส์ลีก, เอฟเอคัพ, ลีกคัพ, คอมมิวนิตี้ชิลด์ หรือแชมป์สโมสรโลก
เหตุผลเดียวที่จะทำให้เขาอยู่แอนฟิลด์ต่อไปคือ ‘ความรัก’ ที่อยากจะอยู่รับใช้สโมสรและพาทีมกอบโกยแชมป์อีกในอนาคต
สิ่งที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้านี้เทรนต์เคยพูดถึงเรื่องของ ‘Legacy’ หรือการเป็นตำนาน ที่ชวนให้ตีความได้อย่างหลากหลายว่ามันสามารถแปลอย่างไรได้บ้าง? ระหว่างการฝากหัวใจไว้ที่แอนฟิลด์ หรือการออกไปผจญภัยในโลกกว้างและกลายเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ในอีกความหมาย
เพียงแต่ล่าสุดทิศทางข่าวเหมือนจะเริ่มเปลี่ยนเหมือนกัน เมื่อมีกระแสข่าวว่าลิเวอร์พูลมอบสัญญาฉบับใหม่ที่ ‘ดูดี’ ทีเดียวให้กับเด็กปั้นคนนี้ – โดยที่ก็เริ่มมีกระแสข่าวเพื่อลดกระแสการย้ายทีมด้วยว่า ความจริงแล้วเทรนต์ไม่ได้ต้องการตัวเลขในสัญญามากเท่ากับซาลาห์หรือฟาน ไดจ์ค
และระยะหลังเทรนต์ออกมาให้สัมภาษณ์ค่อนข้างบ่อยในหลายรายการ และพูดถึง อาร์เน สลอต เจ้านายใหม่ ในทางที่ค่อนข้างดี
แบบนี้ถือว่ามีความหวังได้ไหม?
ได้อยู่!
จะมีข่าวการต่อสัญญาก่อนสิ้นปีไหม?
เรื่องนี้ไม่มีใครรู้คำตอบจริงๆ เพราะมันอาจจะเกิดขึ้นในวันนี้เลยก็ได้หรือไม่เกิดเลยก็ได้เช่นกัน
เพียงแต่ถ้ามันจะมีข่าวดีสักข่าวให้เดอะค็อปทั่วโลกได้ชื่นใจกัน มันก็ควรจะเป็นข่าวการต่อสัญญาของทั้ง 3 คนนี้พร้อมๆ กันไปเลย
แต่ในโลกของความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายและสวยงามแบบนั้น สัญญาของแต่ละคนมีความสลับซับซ้อน มีเงื่อนไขมากมายที่แตกต่างกันออกไป ไม่ใช่แค่พรินต์สัญญามาวางแล้วเซ็นชื่อเฉยๆ เสียเมื่อไรกัน ดังนั้นหากจะมีการต่อสัญญากันจริงๆ น่าจะแยกเป็นรายๆ ไป
โดยที่มีความเป็นไปได้ที่เรื่องอาจจะยืดเยื้อเลยปีใหม่ไปแล้ว และสถานการณ์จะคงความคลุมเครือไปก่อน
และมีความเป็นไปได้เช่นกันที่จะมีคนที่ไม่ต่อสัญญา ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ
ถ้าตัวหลักไม่ต่อสัญญา จะกระทบต่อฟอร์มของลิเวอร์พูลไหม?
จริงอยู่ที่ไม่ว่าจะเป็นซาลาห์, ฟาน ไดจ์ค หรือเทรนต์ ต่างก็รักษาสมาธิเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดเกือบครึ่งฤดูกาลที่ผ่านมา แต่หากถึงจุดหนึ่งที่มีข่าวออกมาว่าจะไม่มีการต่อสัญญากัน มากหรือน้อยก็ย่อมมีผลต่อทีมอย่างแน่นอน
ไม่ใช่แค่เฉพาะกับทั้ง 3 คนเท่านั้น เพราะเรื่องแบบนี้ส่งผลต่อบรรยากาศของทีมทั้งหมด ไปยันบรรยากาศและความรู้สึกของแฟนฟุตบอลที่ตามมาเชียร์ในสนามด้วย
ถ้าถึงจุดนั้นก็เป็นงานของสลอต ในฐานะผู้นำที่จะต้องหาทางประคับประคองทีม รวมถึง 3 คนที่อยู่ในเรื่องนี้เองก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะไม่ให้สิ่งดีๆ ที่ทำมาพังลงไปต่อหน้า เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของลิเวอร์พูลที่จะประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยเฉพาะในพรีเมียร์ลีกที่พวกเขาเฝ้ารอการได้ฉลองแชมป์แบบเต็มๆ อีกครั้ง หลังจากที่ได้แชมป์แต่ฉลองไม่สุดเพราะโควิด-19 เมื่อ 5 ปีที่แล้ว
แต่มันจะเป็นการดีกว่าหากเรื่องไม่ต้องมาถึงจุดนั้นและมีการต่อสัญญากันให้เรียบร้อย ซึ่งจะเป็นการบูสต์กำลังใจที่สำคัญอย่างยิ่งให้ทีมติดปีกลอยลม
จะมีข่าวดีเป็นของขวัญส่งท้ายปีให้แฟนลิเวอร์พูลไหม อีกไม่กี่วันนี้คงได้รู้กันนะ
ว่าแต่ถ้าสมมติต่อสัญญาได้แค่ 1 คน เดอะค็อปอยากเลือกใคร?