×

หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค – การรับซื้อไฟฟ้ายังเดินต่อ แต่ได้รับผลกระทบ GMT

20.12.2024
  • LOADING...
หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค

เกิดอะไรขึ้น:

คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศรายชื่อผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมที่ได้รับการคัดเลือก จำนวน 72 ราย รวมปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่เสนอขาย 2,145.4 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ

 

กลุ่ม 1: พลังงานลม จำนวน 8 ราย รวม 565.40 เมกะวัตต์ กำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ตั้งแต่ปี 2571-2573 และกลุ่ม 2: พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน จำนวน 64 ราย รวม 1,580 เมกะวัตต์ กำหนด SCOD ตั้งแต่ปี 2569-2573

 

ทั้งนี้ กกพ. สั่งการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) คู่สัญญา แจ้งให้ผู้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าทราบและยอมรับเงื่อนไขการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับกลุ่มที่ 1 ภายใน 14 วัน และกลุ่มที่ 2 ภายใน 60 วัน แม้ว่าจะมีคำสั่งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานให้ระงับและตรวจสอบข้อเท็จจริงการรับซื้อไฟฟ้า

 

แต่ กกพ. ชี้แจงว่าการตรวจสอบดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการที่ได้รับการคัดเลือก โดยรวมมองในแง่ดีต่อการตัดสินใจของ กกพ. ซึ่งคาดว่าจะไม่มีการเลื่อนการประมูลทั่วไปรอบที่สอง (1.5 GW) ในช่วงต้นปีหน้าไปมากเหมือนที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

 

InnovestX Research มีมุมมองเชิงบวกต่อการตัดสินใจของ กกพ. ในการเดินหน้าประมูลพลังงานหมุนเวียนรอบแรก เฟส 2 ซึ่งคาดว่าจะไม่เลื่อนการประมูลทั่วไปของรอบที่สองของเฟสที่ 2 อีก 1.5 GW ไปนานมาก ซึ่งคาดว่าจะเปิดเกณฑ์การประมูลในช่วงต้นปีหน้า

 

สำหรับผู้ที่ได้รับคัดเลือกของรอบแรก เฟส 2 หลักๆ ได้แก่ EGCO และพันธมิตรได้รับคัดเลือกทั้งหมด 448 เมกะวัตต์ (โซลาร์ 11 โครงการ), GUNKUL (319 เมกะวัตต์), RATCH (298 เมกะวัตต์), GPSC และพันธมิตร (192.88 เมกะวัตต์) และ BGRIM (51.1 เมกะวัตต์)

 

โดย GPSC และพันธมิตรได้รับการคัดเลือก 192.88 เมกะวัตต์ ได้แก่โครงการ Helios 1 (48.6 เมกะวัตต์), 2 (61.4 เมกะวัตต์), 4 (8 เมกะวัตต์) และโครงการ IRPC-CP (74.88 เมกะวัตต์) โดย GPSC ถือหุ้นประมาณ 50% ส่งผลให้ GPSC ได้รับการคัดเลือก 90-95 เมกะวัตต์ สำหรับรอบแรกของโครงการพลังงานหมุนเวียน FiT เฟส 2 นี้

 

เบื้องต้นคาดว่าการมีส่วนร่วมของกำไรต่อ GPSC ประมาณ 100-150 ล้านบาทต่อปี และสำหรับ BGRIM อยู่ที่ประมาณ 60-80 ล้านบาทต่อปี หลังจากการดำเนินการเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบในช่วงปี 2569-2573

 

เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 คณะรัฐมนตรีอนุมัติพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) 2 ฉบับ เกี่ยวกับการปฏิรูปภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย ได้แก่ พ.ร.ก.ภาษีส่วนเพิ่ม และ พ.ร.ก.เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พระราชกำหนดทั้งสองฉบับนี้สอดคล้องกับกรอบ Pillar 2 ของ OECD ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมจากบริษัทที่เข้าตามมาตรการต้องเสียภาษีขั้นต่ำ (Global Minimum Tax: GMT) ในอัตรา 15%

 

หลังจากการตรวจสอบข้อมูลกับบริษัท GULF กำลังประเมินผลกระทบอยู่ แต่ในกรณีเลวร้ายที่สุด อัตราภาษีที่มีผลอาจเพิ่มขึ้นเป็น 15% จากเดิม 3-8% ซึ่งอาจส่งผลให้กำไรลดลง 9-15% ในปี 2568-2569 BGRIM คาดว่าจะได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยมีอัตราภาษีที่มีผลอยู่ที่ 8% ซึ่งอาจส่งผลให้กำไรในปี 2568-2569 ลดลง 7-8%

 

GPSC คาดว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีขั้นต่ำทั่วโลกนี้ เนื่องจากบริษัทอยู่ภายใต้กลุ่ม PTT (ETR>15%) และไม่มีโครงการใดเข้าข่ายต้องเสียภาษีขั้นต่ำ 15% ในระยะกลางถึงระยะยาว คาดว่าจะมีมาตรการบางอย่างเพื่อบรรเทาผลกระทบจาก BOI

 

กระทบอย่างไร:

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน (SETENERG) ปรับลง 2.53% ขณะที่ SET Index ปรับลง 3.71% สู่ 1,398.95 จุด

 

กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:

InnovestX Research ปรับลดประมาณการกำไรหลักสำหรับ GULF ลง 15% และ 9% ในปี 2568-2569 และ BGRIM ลดลง 8% และ 7% ในปี 2568-2569 ตามลำดับ เพื่อสะท้อนอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นเป็น 15%

 

โดยคงคำแนะนำ Outperform สำหรับ GULF ด้วยราคาเป้าหมายกลางปี 2568 ใหม่ที่ 67.50 บาทต่อหุ้น (จากเดิม 70.0 บาท) เนื่องจากยังคงคาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น 14% ในปี 2568 แม้ว่าจะรวมผลกระทบจาก GMT ไปแล้ว จากการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่อย่างต่อเนื่องจากโครงการ GPD และ HKP ใหม่ และโอกาสที่เป็นบวกจากโครงการพลังงานหมุนเวียนรอบที่ 2 ของเฟส 2 ที่เหลือ (1.5 GW) และ PDP2024 (35 GW) และโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ (2.6 GW) ใน PDP2024

 

ขณะที่คงคำแนะนำ Outperform สำหรับ GPSC เนื่องจากไม่มีผลกระทบจากการดำเนินการตาม GMT และได้รับประโยชน์จากกำลังการผลิตใหม่ของโครงการพลังงานหมุนเวียนรอบแรกของเฟส 2 รวมทั้งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงในวัฏจักรจะเป็นบวก เนื่องจาก 35% ของหนี้สินมีอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนต่ำจะช่วยให้การลงทุนเติบโตในระยะกลางถึงระยะยาว

 

สำหรับ BGRIM คงคำแนะนำ ‘ถือ’ ด้วยราคาเป้าหมายกลางปี 2568 ใหม่ที่ 22.20 บาทต่อหุ้น (จากเดิม 24.5 บาท) เนื่องจากผลกระทบจากการดำเนินการตาม GMT ในปี 2568-2569 และไม่มีการเพิ่มกำลังการผลิตครั้งใหญ่ในระยะสั้น

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือกฎระเบียบและการแทรกแซงจากรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนก๊าซสูงกว่าคาด และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญคือ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล การบริหารจัดการพลังงาน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง และผลกระทบต่อชุมชนใกล้เคียง

 

Cafe Invest แหล่งรวมข้อมูลการลงทุนและบทวิเคราะห์คุณภาพ โดย InnovestX 🚀 คลิกเลย 👉หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค – การรับซื้อไฟฟ้ายังเดินต่อ แต่ได้รับผลกระทบ GMT

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X