จากการที่ภาคเอกชนชั้นนำของประเทศไทยเข้าร่วมประชุมกับ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถึงแนวทางความร่วมมือในการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ระหว่างภาครัฐและเอกชนวานนี้ (28 เมษายน) ที่ทำเนียบรัฐบาล
โดยหลังการประชุมมีการแถลงข่าวร่วมกันในทิศทางที่ดีว่า รัฐบาลยอมรับหลักการที่ภาคเอกชนเสนอมา แต่เย็นวันเดียวกันนั้นหอการค้าไทยออกแถลงการณ์ระบุว่า “รัฐบาลได้แจ้งว่าปริมาณวัคซีนที่ภาครัฐจัดหามานั้นมีจำนวนที่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนทุกคน พร้อมเร่งดำเนินการในการนำเข้าวัคซีน ซึ่งกำลังทยอยเข้ามาเป็นลำดับ ดังนั้นภาคเอกชนจึงไม่จำเป็นต้องมีการจัดหามาเพิ่มเติม และจะได้ไม่เป็นภาระในเรื่องค่าใช้จ่าย”
แถลงการณ์นี้สร้างความสับสนและเสียงวิจารณ์อย่างมากว่ารัฐบาลเบรกภาคเอกชนช่วยจัดหาวัคซีน ทั้งที่การบริหารจัดการของรัฐปัจจุบันดูไร้ประสิทธิภาพในสายตาประชาชน
วันนี้ (29 เมษายน) สนั่น อังอุบลกุล ประธานหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ถึงเรื่องนี้ว่า
จุดประสงค์ของภาคเอกชนนั้นมีความเป็นห่วงแผนของรัฐบาลในการจองซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 จำนวน 60 ล้านโดส ซึ่งเห็นว่าไม่เพียงพอ จำนวนที่ต้องมีคือ 100 ล้านโดส ถึงจะฉีดวัคซีนให้ประชาชน 70% ของประเทศ หรือ 50 ล้านคน และจะต้องมีวัคซีนมาฉีดให้ประชาชนเร็วที่สุดได้อย่างไรบ้าง ซึ่งเราคิดว่าถ้ารัฐบาลมีข้อจำกัด เอกชนก็มีศักยภาพในการเจรจา และถ้าเราเจรจาได้ก็จะให้รัฐบาลอนุญาตให้เรานำเข้ามาเองโดยเอกชนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งวัคซีนที่ภาคเอกชนจะนำเข้ามาจะไปฉีดให้กับพนักงานในบริษัทของตนเอง ส่วนที่เหลือก็จะนำไปฉีดให้กับประชาชนสมทบกับของรัฐบาลที่สั่งจองไว้
สนั่นกล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาภาคเอกชนได้เริ่มติดต่อหาผู้ผลิตวัคซีนแล้วนอกเหนือจากนี่ห้อ Sinovac และ AstraZeneca โดยได้ติดต่อหลายยี่ห้อ เช่น Johnson & Johnson ติดต่อไปแล้วกว่าจะเอาเข้ามาได้ก็ไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ส่วนยี่ห้อ Sinopharm ก็ติดต่อไปแล้ว ซึ่งได้ติดต่อท่านทูตจีนไป และได้รับคำตอบว่าสถานการณ์วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของโลกขาดแคลนอย่างมาก วัคซีน Sinopharm ก็ขาดแคลนเช่นกัน แต่ได้ติดต่ออย่างต่อเนื่องเพื่อรอคำตอบอยู่ แต่คาดว่าจะเข้ามาได้ก็ช่วงปลายปี
“อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าไปคุยกับนายกรัฐมนตรีก็ได้รับคำตอบว่า ท่านมีข่าวดีโดยยืนยันว่ารัฐบาลสามารถจัดหาวัคซีนได้ครบ 100 ล้านโดส และฉีดให้ประชาชนได้ทั่วถึง รวมทั้งคนต่างชาติที่อยู่ในไทยก็จะฉีดให้ด้วย” สนั่นกล่าว
เมื่อถามว่า สรุปว่าตอนนี้ภาคเอกชนไม่ต้องไปติดต่อจองซื้อวัคซีนเข้ามาในประเทศไทยอีกแล้วหรือไม่
สนั่นกล่าวว่า กรณีของภาคเอกชนจะสามารถนำเข้าวัคซีนได้ก็ช่วงปลายปีแล้ว ซึ่งถือว่าช้าเกินไป และจะไปทับซ้อนกับของรัฐบาลที่จะจัดหามาได้ก่อน
เมื่อถามว่า การมีวัคซีนเกินน่าจะดีกว่าขาดหรือไม่
สนั่นกล่าวว่า ตนเห็นด้วยว่าถ้าเราได้วัคซีนยิ่งมากก็ยิ่งดี แต่ถามว่าจะเบรกการหาวัคซีนหรือไม่นั้น เวลานี้ยังดำเนินการประสานจัดหาวัคซีนอยู่เพื่อช่วยเหลือตัวเอง หากนำเข้ามาได้ก็จะมีการประสานงานกันเพื่อหาทางนำเข้ามาต่อไป แต่เพื่อลดความซ้ำซ้อน ตอนนี้ก็ยังใช้แผนเดิมของรัฐบาลไปก่อน
“เราได้พูดถึงการบริหารความเสี่ยง พบว่าทั่วโลกแย่งซื้อวัคซีนในช่วงนี้ ความเป็นจริงตอนนี้เราไม่สามารถหาวัคซีนได้ทันทีอย่างที่เราตั้งใจไว้ แต่ตอนนี้ก็กำลังพยายามอยู่” สนั่นกล่าว
ส่วนกรณีที่กระทรวงสาธารณสุขแถลงข่าววานนี้ที่ระบุว่า แผนการจัดหาวัคซีนจะมีเอกชนช่วยหา 7 ล้านโดส ซึ่งส่วนนี้จะเป็นของสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดหาของภาคเอกชนนั้น สนั่นกล่าวว่า ฟังจากความตั้งใจและนายกฯ ให้คำยืนยันว่าจะเกิดขึ้นภายในสิ้นปีนี้ หอการค้าก็ยังมีความมั่นใจว่าจะมีวัคซีนฉีดให้ประชาชนครบ 70% ของจำนวนประชากร
สำหรับความคืบหน้ากรณีสมาคมโรงพยาบาลเอกชนจัดหาวัคซีนทางเลือกนั้น นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับภาคธุรกิจเอกชนเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลเอกชน เพราะในส่วนของโรงพยาบาลยังดำเนินการตามกลไกของคณะทำงานพิจารณาจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 ที่มี นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธาน ซึ่งเป็นการจัดหาวัคซีนทางเลือก
ทั้งนี้ แนวทางการจัดหาวัคซีนทางเลือกของโรงพยาบาลเอกชนที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ยังสามารถนำเข้าหรือใช้วิธีซื้อผ่านองค์การเภสัชกรรม เช่น Moderna, Sinopharm รวมไปถึง Johnson & Johnson ดังนั้นขอยืนยันว่า แนวทางการจัดหาวัคซีนทางเลือกของโรงพยาบาลเอกชนยังคงดำเนินการอยู่