ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา (20 พฤษภาคม) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 7 ติดต่อกัน โดยดัชนีหลักอย่าง Dow Jones, S&P 500 และ Nasdaq ปรับตัวลง 13.97, 18.14 และ 27.42% ตามลำดับ จากปลายปีก่อน โดยปัจจัยกดดันตลาดในครั้งนี้มาจากทั้งเรื่องของการดึงสภาพคล่องออกจากระบบโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นกดดันจากเรื่องของสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และมูลค่าหุ้นที่แพงสุดในรอบ 2 ทศวรรษ
ทั้งนี้ การร่วงลงของดัชนี S&P 500 7 สัปดาห์ติดต่อกัน เป็นการลดลงที่ต่อเนื่องมากสุดในรอบ 21 ปี เช่นเดียวกับ Nasdaq 100 ที่ลดลง 7 สัปดาห์ติดต่อกันก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในทศวรรษที่ผ่านมา
แรงขายที่เกิดขึ้นออกมาทั่วทั้งตลาด ไล่มาตั้งแต่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ยังไม่มีกำไร หรือแม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Walmart ขณะที่หุ้นกลุ่มสินค้าจำเป็นซึ่งมักจะถูกคาดหมายว่าจะสามารถทนทานอยู่ได้ในช่วงตลาดปรับฐาน แต่หุ้นในกลุ่มนี้ก็ร่วงลงมา 8% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
Quincy Krosby หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตลาดทุนของ LPL Financial กล่าวว่า ความไม่แน่นอนที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้แตกต่างออกไป แต่งานของนักกลยุทธ์ในตอนนี้ก็ไม่ได้ง่ายไปกว่าช่วงโควิด มันไม่มีความแน่นอนอยู่เลยในทิศทางที่เศรษฐกิจกำลังวิ่งไป โอกาสที่จะเกิดขึ้นเป็นไปได้ ทั้งการเกิดเศรษฐกิจถดถอย หรือเศรษฐกิจอาจจะชะลอลงแบบ Soft Landing หรืออาจจะเป็นอะไรที่อยู่กึ่งกลาง
ขณะที่ John Stoltzfus นักวิเคราะห์ของ Oppenheimer ให้เป้าหมายดัชนีของ S&P 500 ณ สิ้นปีนี้ไว้สูงที่สุดใน Bloomberg ที่ระดับ 5,330 จุด โดยให้เหตุผลว่า
“จากประสบการณ์ 39 ปี สัญชาตญาณของผมกำลังบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคล้ายกับปี 2009, ปี 1994 และคล้ายกับไตรมาส 4 ของปี 2018 สิ่งที่เกิดขึ้นหากคุณคาดการณ์ในเชิงลบ คุณจะพลาดการวิ่งขึ้นที่จะตามมา”
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ช่องว่างระหว่างความเห็นของนักวิเคราะห์ที่ประเมินเป้าหมายดัชนี S&P 500 ช่วงสิ้นปี ห่างกันมากถึง 37% ซึ่งในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา มีเพียง 3 ปีเท่านั้นที่ช่วงห่างดังกล่าวเกิน 30% คือ ปี 2009, 2020 และ 2022 โดย Eric Johnston นักวิเคราะห์ของ Cantor Fitzgerald ให้เป้าหมายไว้ต่ำสุดที่ 3,900 จุด
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP