ในช่วงก่อนเข้าวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งตรงกับวันชาติสหรัฐอเมริกา สหรัฐฯ เผชิญกับเหตุกราดยิงถึง 3 เหตุการณ์ติดกันทั้งในฟิลาเดลเฟีย บัลติมอร์ และฟอร์ตเวิร์ธ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมด 10 คน และมีผู้บาดเจ็บ 38 คน ส่งผลให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ออกมาเรียกร้องให้มีการผ่านกฎหมายควบคุมอาวุธปืนอีกครั้งหนึ่ง
“ประเทศของเราต้องทนกับเหตุกราดยิงที่ไร้เหตุผลและน่าสลดใจอีกครั้ง” ไบเดนกล่าวในถ้อยแถลง พร้อมเรียกร้องให้สมาชิกสภานิติบัญญัติของพรรครีพับลิกัน ‘มาร่วมหารือเกี่ยวกับการปฏิรูปที่มีความหมายและมีเหตุผลร่วมกัน’
ในเมืองฟอร์ตเวิร์ธ รัฐเท็กซัส มีผู้เสียชีวิต 3 คน และบาดเจ็บ 8 คน จากเหตุกราดยิงหลังจากงานเทศกาลในท้องถิ่นที่จัดขึ้นเพื่อฉลองวันชาติวานนี้ (4 กรกฎาคม)
และหากย้อนกลับไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (3 กรกฎาคม) เกิดเหตุกราดยิงขึ้นที่เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 5 คน และบาดเจ็บ 2 คน ซึ่งเหยื่อจากเหตุการณ์ดังกล่าวรวมถึงเด็กชายวัย 2 ปี และ 13 ปี โดยทั้งคู่ถูกยิงเข้าที่ขาจนได้รับบาดเจ็บ หลังผู้ต้องสงสัยสวมชุดเกราะและสาดกระสุนจากอาวุธปืน AR-15 ใส่ฝูงชน
ขณะเมื่อช่วง 00.30 น. ของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (2 กรกฎาคม) สถานีโทรทัศน์ Fox45 Baltimore รายงานว่าเกิดเหตุกราดยิงขึ้นในเมืองบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน และมีผู้บาดเจ็บมากถึง 28 คนด้วยกัน ซึ่งผู้บาดเจ็บครึ่งหนึ่งเป็นเด็ก
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ทราบถึงแรงจูงใจของผู้ก่อเหตุในทั้ง 3 เหตุการณ์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้สะท้อนให้เห็นว่าเหตุความรุนแรงจากอาวุธปืนนั้นไม่เคยจางหายไปจากสหรัฐฯ โดยข้อมูลจาก Gun Violence Archive ระบุว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2023 จนถึงปัจจุบัน สหรัฐฯ เผชิญกับเหตุกราดยิงแล้วกว่า 340 ครั้งด้วยกัน (โดยให้นิยามว่าเหตุกราดยิงคือเหตุการณ์ที่ต้องมีผู้ถูกยิงอย่างน้อย 4 คน ไม่รวมผู้ก่อเหตุ)
ภาพ: Kyle Mazza / Anadolu Agency via Getty Images
อ้างอิง: