ผู้ใช้บริการที่สนามบินต้องพบกับแถวที่ยาวขึ้น พนักงานรัฐหลายแสนคนจะถูกพักงานและไม่ได้รับค่าจ้าง อุทยานแห่งชาติปิดให้บริการ และการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าช้า สิ่งเหล่านี้คือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึง 1 สัปดาห์ หากสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณได้ทันเวลา 00.00 น. ของวันที่ 30 กันยายนนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปีงบประมาณ
ความหวังว่าที่ว่าสภาคองเกรสจะสามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายชั่วคราว หรือที่เรียกว่า Continuing Resolutions (CR) ได้ทันก่อนกำหนดเส้นตายดังกล่าวเพื่อหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์ ดูค่อนข้างริบหรี่ เมื่อสภาผู้แทนราษฎรเผชิญกับการต่อต้านจาก สส. กลุ่มอนุรักษนิยมขวาจัดของรีพับลิกัน ที่นำโดย เควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาล่าง ที่ต้องการใช้การชัตดาวน์เป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อบีบให้รัฐบาลตัดลดงบประมาณรายจ่าย
จะเกิดอะไรขึ้นหากรัฐบาลชัตดาวน์…ต่อไปนี้คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น หากรัฐบาลสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้
-
การชัตดาวน์ของรัฐบาลคืออะไร?
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการชัตดาวน์คืออะไร Government Shutdown เป็นภาวะที่รัฐบาลสหรัฐฯ จำเป็นต้องยุติการจ่ายงบประมาณให้กับหน่วยงานต่างๆ เป็นการชั่วคราว เนื่องจากสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณฉบับใหม่ได้ทัน อันเป็นผลมาจากความขัดแย้งในสภา
เมื่อรัฐบาลยุติการจ่ายงบประมาณให้หน่วยงาน จึงเป็นเหตุให้หน่วยงานนั้นต้อง ‘ปิดตัวลง’ หรือ ‘ชัตดาวน์’ ชั่วคราว จนกว่าจะได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อให้หน่วยงานดำเนินการหรือเปิดให้บริการต่อไปได้
อย่างไรก็ดี การปิดหน่วยงานมีข้อยกเว้นสำหรับหน่วยงานที่มีความสำคัญหรือส่งผลกระทบต่อประชาชน เช่น หน่วยงานด้านสาธารณสุข กองทัพ พยากรณ์อากาศ บริการไปรษณีย์ บริการขนส่งสาธารณะ หน่วยจัดควบคุมการจราจรทางอากาศ เป็นต้น
ส่วนหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบจากภาวะชัตดาวน์คือหน่วยงานราชการที่ไม่จำเป็นหรือจำเป็นน้อยกว่า เช่น อุทยานแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ เป็นต้น
-
การชัตดาวน์จะเริ่มเมื่อใด และจะดำเนินไปนานเท่าใด?
การชัตดาวน์จะเริ่มต้นขึ้นทันทีที่เข้าสู่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันแรกของปีงบประมาณของรัฐบาล
ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าการชัตดาวน์ครั้งนี้จะใช้เวลานานเท่าใด แต่เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่า สภาคองเกรส ซึ่งประกอบด้วยวุฒิสภาที่มีพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมาก และสภาผู้แทนราษฎรที่คุมเสียงข้างมากโดยพรรครีพับลิกัน และกลุ่มอนุรักษนิยมขวาจัดของประธานสภา เควิน แมคคาร์ธี ที่ต้องการใช้การชัตดาวน์เป็นเครื่องมือในการบีบให้รัฐบาลตัดลดงบประมาณรายจ่าย ทำให้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการชัตดาวน์ครั้งนี้อาจกินเวลาหลายสัปดาห์
-
รัฐบาลสหรัฐฯ เคยเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์มาก่อนหรือไม่?
ก่อนคริสต์ทศวรรษ 1980 การขาดงบประมาณรายจ่ายไม่ได้ส่งผลให้การดำเนินงานของรัฐบาลต้องปิดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ เบนจามิน ซีวิลเล็ตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในเวลานั้น โต้แย้งว่า ตามกฎหมาย หน่วยงานของรัฐไม่สามารถดำเนินการได้ในช่วงเวลาที่ไม่มีงบประมาณสนับสนุน
นับตั้งแต่นั้นมารัฐบาลกลางจึงกำหนดให้เฉพาะหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ในตำแหน่งที่จำเป็นเท่านั้นที่ยังคงปฏิบัติงานในช่วงชัตดาวน์ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของสาธารณะและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ
ตั้งแต่ปี 1976 เป็นต้นมา การชัตดาวน์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน เมื่อนิวต์ กิงริช ประธานสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้น และ สส. อนุรักษนิยมของเขาเรียกร้องให้มีการตัดลดงบประมาณ
การชัตดาวน์ของรัฐบาลที่ยาวนานที่สุดเกิดขึ้นระหว่างปี 2018-2019 เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และพรรคเดโมแครตขัดแย้งกันเรื่องงบประมาณในการก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดน การชัตดาวน์ในครั้งนั้นกินเวลานาน 35 วันตลอดช่วงเทศกาลวันหยุด
-
การชัตดาวน์ส่งผลกระทบกับใครบ้าง?
หน่วยงานของรัฐบาลที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดตัวลงชั่วคราว หรือหน่วยงานที่มีความจำเป็นก็อาจมีชั่วโมงการทำงานที่สั้นลงในช่วงของการชัตดาวน์
พนักงานของรัฐบาลกลางหลายล้านคนจะถูกพักงาน ไม่ได้รับค่าจ้าง หรือได้รับเงินเดือนล่าช้า
นอกเหนือจากพนักงานของรัฐบาลแล้ว การชัตดาวน์ยังอาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อประชาชนที่สมัครรับบริการต่างๆ ของรัฐ เช่น การทำหนังสือเดินทาง การวิจัยทางคลินิก การขออนุญาตมีและใช้อาวุธปืน เป็นต้น
ทั้งนี้ ขอสรุปหน่วยงานที่ได้รับ-ไม่ได้รับผลกระทบ เป็นข้อๆ ดังนี้
การทหาร
- ข้อมูลระบุว่า เกือบ 60% ของพนักงานรัฐสังกัดกระทรวงกลาโหม กิจการทหารผ่านศึก และความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ
- เจ้าหน้าที่ทหารจำนวน 2 ล้านนายจะยังคงปฏิบัติหน้าที่ประจำการในกองทัพตามปกติ แต่พนักงานพลเรือนประมาณครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 800,000 คนที่สังกัดเพนตากอน จะถูกพักงาน
- สัญญาต่างๆ ที่ทำก่อนการชัตดาวน์จะยังคงดำเนินต่อไปได้ และเพนตากอนสามารถสั่งซื้อครุภัณฑ์หรือบริการใหม่ที่จำเป็นเพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติ แต่สัญญาใหม่อื่นๆ รวมถึงการต่ออายุหรือการขยายเวลา จะต้องรอไปก่อน เช่นเดียวกับการจ่ายเงินให้กับผู้รับเหมาด้านการป้องกันประเทศ เช่น Boeing, Lockheed Martin และ RTX (ชื่อเดิม Raytheon) อาจประสบกับความล่าช้า
การศึกษา
- เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาจะยังคงได้รับการจัดสรรต่อไป แต่อาจประสบกับความล่าช้า เนื่องจากพนักงานสังกัดกระทรวงศึกษาธิการส่วนใหญ่จะถูกพักงาน
- การชัตดาวน์ที่ยืดเยื้ออาจส่งผลให้ความช่วยเหลือแก่โรงเรียน มหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาอื่นๆ ถูกตัดทอนลงอย่างมาก
สุขภาพ ประกันสุขภาพ ประกันสังคม และสิทธิประโยชน์อื่นๆ
- ประชาชนยังคงใช้บริการประกันสุขภาพ Medicare และ Medicaid ได้ต่อไป เช่นเดียวกับประกันสังคมและสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น การเกษียณอายุ และทุพพลภาพ
- การแจกคูปองอาหารสำหรับผู้มีรายได้น้อย ผู้พิการ และคนอื่นๆ อาจประสบกับความล่าช้า
- ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) จะยังคงติดตามสถานการณ์ของโรคระบาดต่างๆ ต่อไป แม้ว่ากิจกรรมด้านสาธารณสุขอื่นๆ อาจได้รับผลกระทบ เนื่องจากพนักงานมากกว่าครึ่งหนึ่งของหน่วยงานจะถูกพักงาน
- สถาบันสุขภาพแห่งชาติจะพักงานเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการทดลองทางคลินิกสำหรับโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง หรืออัลไซเมอร์
เศรษฐกิจ การเงิน
- Goldman Sachs คาดการณ์ว่า การชัตดาวน์จะลดการเติบโตทางเศรษฐกิจลง 0.2% ต่อสัปดาห์ แต่การเติบโตจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหลังจากที่รัฐบาลกลับมาเปิดทำการใหม่
- บริษัทที่ทำธุรกิจกับรัฐบาลกลาง เช่น ผู้รับเหมา หรือผู้ให้บริการนำเที่ยวรอบอุทยานแห่งชาติ อาจได้รับผลกระทบจากการหยุดให้บริการ ทั้งนี้ สมาคมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งสหรัฐฯ เผยว่า ภาคการท่องเที่ยวอาจสูญเงินถึง 140 ล้านดอลลาร์ต่อวันในช่วงของการชัตดาวน์
- รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญจากสำนักงานสถิติแรงงานของกระทรวงแรงงานจะถูกระงับ ซึ่งรวมถึงรายงานจำนวนผู้ว่างงานที่มีกำหนดจะเปิดเผยในวันที่ 6 ตุลาคม และรายงานราคาเงินเฟ้อที่จะครบกำหนดในสัปดาห์ถัดไป เช่นเดียวกับข้อมูลเศรษฐกิจจากสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งรวมถึงข้อมูลการค้าปลีกและรายงานตัวเลขการสร้างบ้าน
- อย่างไรก็ดี กิจกรรมของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะไม่ได้รับผลกระทบ ซึ่งหมายความว่าธนาคารกลางจะยังคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 1 พฤศจิกายน
คดีความในศาล งานของสภาคองเกรส และเงินเดือนประธานาธิบดีได้รับผลกระทบด้วยหรือไม่?
- ประธานาธิบดีและสมาชิกสภาคองเกรสจะยังคงทำงานและได้รับเงินเดือนตามปกติ
- โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินจัดสรรสำหรับที่ปรึกษาพิเศษทั้งสามที่ได้รับการแต่งตั้งโดย เมอร์ริก การ์แลนด์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการยุติธรรม จะไม่ได้รับผลกระทบจากการชัตดาวน์ของรัฐบาล เนื่องจากได้รับค่าตอบแทนผ่านงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรอย่างถาวร
- หน่วยงานของกระทรวงยุติธรรม เช่น สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) สำนักงานปราบปรามยาเสพติด (DEA) และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นๆ จะยังคงทำงานต่อไป เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่เรือนจำ เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ศุลกากรของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ หน่วยสืบราชการลับ และหน่วยยามฝั่ง
- ฝ่ายตุลาการศาลยังคงทำงานได้ต่อไป โดยใช้เงินที่ได้จากค่าธรรมเนียมต่างๆ ของศาล รวมถึงเงินจัดสรรอื่นๆ ที่ได้รับอนุมัติ อย่างไรก็ดี หากเงินหมด กิจกรรมต่างๆ ก็อาจถูกลดขนาดลง
- การดำเนินคดีอาญา ซึ่งรวมถึงคดีของรัฐบาลกลาง 2 คดีต่ออดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะดำเนินต่อไป อย่างไรก็ดี การดำเนินคดีทางแพ่งส่วนใหญ่จะถูกเลื่อนออกไป
ต่างประเทศจะได้รับผลกระทบจากการชัตดาวน์ในสหรัฐฯ หรือไม่
- สถานทูตและสถานกงสุลสหรัฐฯ ในประเทศต่างๆ จะยังคงเปิดทำการตามปกติ โดยยังคงให้บริการออกหนังสือเดินทางและวีซ่าต่อไปได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า สถานทูตหรือสถานกงสุลนั้นๆ มีค่าธรรมเนียมเพียงพอสำหรับสนับสนุนการดำเนินงาน
- ผู้ที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ อาจประสบกับบริการล่าช้าที่สนามบิน เนื่องจากแม้เจ้าหน้าที่ตรวจคัดกรองความปลอดภัยของสนามบินและพนักงานควบคุมการจราจรทางอากาศถูกกำหนดให้ปฏิบัติงานในช่วงชัตดาวน์ แต่ในการชัตดาวน์เมื่อปี 2019 เกิดเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่เหล่านี้ซึ่งทำงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน โทรมาขอลาป่วย ทำให้สนามบินบางแห่งต้องปิดให้บริการ
- โครงการช่วยเหลือต่างประเทศบางโครงการอาจขาดงบประมาณสนับสนุน
ภาพ: Dan Thornberg via Shutterstock
อ้างอิง:
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-09-22/shutdown-watch-here-s-what-stops-and-doesn-t-if-federal-funding-lapses
- https://www.reuters.com/world/us/us-government-shutdown-what-closes-what-stays-open-2023-09-21/
- https://www.cnbc.com/2023/09/23/the-us-federal-government-is-headed-into-a-shutdown-what-does-it-mean-whos-hit-and-whats-next.html