สหรัฐอเมริกามีหนี้สูงถึง 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ และกำลังอยู่ในช่วงเจรจาขยายเพดานหนี้ นักลงทุนต่างรอดูอย่างใจจดใจจ่อว่าประเทศจะผิดนัดชำระหนี้หรือไม่ เหตุการณ์นี้อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงิน รวมถึงตลาดคริปโตเป็นอย่างมาก
การผิดชำระหนี้อาจสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดการเงิน
หนี้สินของสหรัฐฯ ทะลุระดับเพดานหนี้ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อเดือนมกราคม 2023 ที่ผ่านมา เพดานดังกล่าวนี้เป็นขีดจำกัดของสภาคองเกรสในการกู้ยืมเงินที่รัฐบาลสามารถทำได้
ทั้งสองพรรคการเมืองกำลังเจรจาเกี่ยวกับการขยายเพดานหนี้โดยยังไม่มีความคืบหน้า พรรคเดโมแครตต้องการให้มีการขยายเพดานโดยไร้เงื่อนไขใดๆ แต่พรรครีพับลิกันเรียกร้องให้ลดการใช้จ่ายของรัฐบาลหลายรายการ เพื่อเป็นภาระผูกพันในการยกระดับเพดานหนี้
หากสภาคองเกรสไม่ขยายเพดานหนี้ได้ภายในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ สหรัฐฯ จะเจอกับการผิดชำระหนี้ สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน รวมถึงตลาดคริปโตด้วย แม้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะประกาศว่าจะไม่มีการผิดนัดชำระหนี้ แต่ผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดไม่อาจมองข้ามได้ในขณะนี้
หายนะหรือโอกาสครั้งใหม่ในตลาดคริปโต
นักวิเคราะห์จาก Bloomberg มองว่าการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ จะกระตุ้นให้เงินทุนไหลเข้าสู่ทองคำ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และบิทคอยน์
คณบดีคณะเศรษฐกิจดิจิทัลและสื่อสารมวลชนจาก MTUCI Sergey Gataullin เห็นด้วยกับนักวิเคราะห์ Bloomberg โดยมองว่า ทองคำ BTC และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อาจได้รับความสนใจ ขณะที่ Evgeny Grechenok ผู้พัฒนาบล็อกเชนกล่าวว่า BTC อาจดึงดูดนักลงทุนได้จากคุณสมบัติเรื่องการกระจายอำนาจและปริมาณที่จำกัด แต่ยังมีข้อกังวลเรื่องความผันผวนที่สูงของบิทคอยน์
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ จะเป็นหายนะต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และระบบการเงินโลก ตลาดหุ้นอาจร่วงลงอย่างรุนแรง ผู้คนนับล้านอาจตกงาน และประเทศอาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และบิทคอยน์อาจได้รับผลกระทบ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์เสี่ยง และแน่นอนว่าหากบิทคอยน์ได้รับผลกระทบ สกุลเงินดิจิทัลส่วนใหญ่ย่อมมีโอกาสร่วงลงตามกัน และตลาด Stablecoins อาจเผชิญกับวิกฤตที่ร้ายแรงได้
การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงและความผันผวนสูงมาก นักลงทุนจึงควรกระจายความเสี่ยง ศึกษาหาข้อมูล และวางแผนในการลงทุนด้วยความรอบคอบ บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น
อ้างอิง: