×

ถอดบทเรียนเกมการค้าสหรัฐฯ “ทรัมป์ 2.0 กระทบไทยมากกว่าที่คิด” ถึงเวลาที่รัฐต้องมีทีมพิเศษเพื่อตอบโต้กำแพงภาษีแบบเม็กซิโกและแคนาดา

06.03.2025
  • LOADING...
us-trade-war-trump-2.0

ภาคเอกชนโดยกลุ่มหอการค้าไทยออกแถลงการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกและไทยมีความเสี่ยงสูงจากผลกระทบภาษีทรัมป์ สงครามการค้าสหรัฐฯ-โลก รุนแรงมากกว่าที่คาดการณ์ มากไปกว่านั้น สินค้าต่างประเทศทะลักเข้าไทยอีกระลอก

 

ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่รัฐบาลต้องมีทีมพิเศษเพื่อวางแผนรับมือเกมการค้ารุนแรง

 

พร้อมถอดบทเรียนทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีแคนาดา-เม็กซิโก ที่สองประเทศมีทีมพิเศษตอบโต้และต่อรองได้คล่องตัว จนมีข่าวว่าทำเนียบขาวส่งสัญญาณจะพบกันกับเม็กซิโกและแคนาดาที่ครึ่งทาง 

 

สินค้าจากต่างประเทศทะลักเข้าสู่ตลาดอาเซียนและไทย

 

วันนี้ (6 มีนาคม) สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยขอให้รัฐบาลเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี ซึ่งมีความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการที่ไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกขึ้นภาษี เนื่องจากเป็นหนึ่งในประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าลำดับที่ 11 

 

โดยหอการค้าไทยกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ กับทั่วโลก ซึ่งอาจทำให้มีสินค้าจากต่างประเทศทะลักเข้าสู่ตลาดอาเซียนรวมถึงไทย จะสร้างแรงกดดันต่อการส่งออกของไทยและผู้ประกอบการไทยในทุกระดับต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น

 

ดังนั้นขอให้รัฐบาลเร่งตั้ง ทีมพิเศษ (Special Team) ประกอบด้วยภาครัฐและภาคเอกชนที่มีอำนาจสั่งการระดับกระทรวง เพื่อวางแผนรับมือและกำหนดแผนเชิงรุกกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของนโยบายเศรษฐกิจการค้าของสหรัฐฯ กับทั่วโลก

 

ไทยถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลสหรัฐฯ แน่นอน

 

สำหรับดุลการค้าไทย-สหรัฐฯ ปี 2566 สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย โดยมีมูลค่าการส่งออก 67,659 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐฯ 29,045 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ปี 2567 ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าไทยยังคงเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ประมาณ 45,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ขยับจากประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐในลำดับที่ 12 มาเป็นลำดับที่ 11

 

“นี่อาจสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสที่ไทยอาจถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในเรื่องความไม่สมดุลทางการค้า โดยที่นโยบายการค้าของทรัมป์มุ่งลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า ซึ่งอาจนำไปสู่การขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากไทย และเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎระเบียบทางการค้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งหากไทยไม่สามารถปรับตัวได้อย่างทันท่วงที อาจส่งผลให้มูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ” สนั่นย้ำ

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

ที่ผ่านมาหอการค้ามีการหารือและส่งสัญญาณไปยังรัฐบาลถึงการเตรียมความพร้อมมาตรการในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของทรัมป์ ขณะเดียวกัน นโยบายการค้าเชิงรุกของสหรัฐฯ และมาตรการกีดกันสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ จะทำให้หลายประเทศต้องหันมาพึ่งพาตลาดใหม่โดยเฉพาะอาเซียนและไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเกษตรและอาหาร เป็นต้น

 

ดังนั้นเพื่อป้องกันผลกระทบ ขอให้รัฐบาลดำเนินมาตรการควบคุมและกวดขันการนำเข้าสินค้าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่อาจไม่ได้คุณภาพ หรือสินค้าที่มีราคาถูกจนส่งผลต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม (Free and Fair Trade) ตรวจสอบมาตรฐานสินค้านำเข้าอย่างละเอียดก่อนอนุญาตให้เข้าสู่ตลาดไทย โดยกำหนดให้สินค้าบางประเภทต้องผ่านการรับรองมาตรฐาน ตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าเพื่อป้องกันการปลอมแปลงหรือหลบเลี่ยงภาษี 

 

“ส่วนของสินค้าที่ทะลักเข้ามาแล้วรัฐบาลต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการกวดขันเรื่องการลักลอบนำเข้าสินค้าโดยไม่เสียภาษี การตรวจสอบการใช้ราคาต่ำผิดปกติเพื่อทำลายการแข่งขัน รวมถึงการป้องกันการทุ่มตลาด (Dumping) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจภายในประเทศอย่างรุนแรง”

 

ถอดบทเรียนสหรัฐฯ ขึ้นภาษีเม็กซิโกและแคนาดา 25%

 

หอการค้ายังถอดบทเรียนจากการประกาศที่สหรัฐฯ ประกาศภาษีศุลกากรต่อเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% แม้ทั้งสองประเทศเป็นพันธมิตรและคู่ค้าใหญ่มากของสหรัฐฯ แต่สังเกตความฉับไวของการตัดสินใจของทั้งสองประเทศต่อรองซื้อเวลาได้อีกหนึ่งเดือน และเมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ภาษีนำเข้า 25% ถูกบังคับใช้เป็นทางการ 

 

“ทั้งสองประเทศก็สามารถใช้ทีมพิเศษตอบโต้และต่อรองได้คล่องตัว จนมีข่าวว่าทำเนียบขาวส่งสัญญาณจะพบกันกับเม็กซิโกและแคนาดาที่ครึ่งทาง ไทยก็ควรให้ความสำคัญกับการดูแลอัตราค่าเงินบาทและอัตราแลกเปลี่ยนด้วย เนื่องจากหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจมีการใช้กลยุทธ์ในการบริหารค่าเงินของตนเพื่อลดผลกระทบจากภาษี และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน”

 

ดังนั้นเราจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และไม่ควรมองข้ามประเด็นปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงค่าเงินและอัตราแลกเปลี่ยน สนั่นกล่าว

 

ไทยควรเพิ่มการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร อาหาร

 

ด้าน พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ คนที่ 1 กล่าวว่า หอการค้าไทยห่วงภาพรวมและตัวเลขการค้าของไทย ซึ่งได้ดุลการค้าจากสหรัฐฯ สูงเพื่อป้องกันผลกระทบจากนโยบายดังกล่าว ไทยเองควรพิจารณาเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร อาหาร และพลังงาน เพื่อลดความกดดันด้านดุลการค้า รวมถึงพิจารณาปฏิรูปโควตาภาษีนำเข้าของไทยกับสหรัฐฯ ให้มีจุดยืนที่เป็นธรรมและเข้มแข็ง (Fair and Strong Position) ในการเจรจากับสหรัฐฯ

 

นอกจากนี้รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเสียดุลการค้าภาคบริการ (Deficit on Services) เช่น บริการดิจิทัล ค่าบริหารจัดการ ลิขสิทธิ์ ภาคธนาคาร ภาคประกันภัย การศึกษาเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อนกว่าตัวเลขการค้าสินค้าเพียงอย่างเดียว

 

“ที่สำคัญรัฐบาลจัดตั้งทีมพิเศษ (Special Team) ที่มีอำนาจสั่งการกระทรวงสำคัญ เช่น กระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงเกษตรฯ, กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงดิจิทัลฯ และกระทรวงแรงงาน ร่วมกับภาคเอกชน โดยเฉพาะสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์เจรจาเชิงรุกกับสหรัฐฯ”

 

โดยการทำงานต้องครอบคลุมทั้งการป้องกันมาตรการภาษีที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการใช้โอกาสจากมาตรการภาษีของทรัมป์ (Trump Tariffs) ซึ่งถือเป็นนโยบายกาลักน้ำ (Zero Sum Game) ที่ประเทศหนึ่งได้ อีกประเทศหนึ่งต้องเสีย 

 

ดังนั้นไทยต้องวางกลยุทธ์ให้เป็นฝ่ายได้รับประโยชน์สูงสุดจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการค้าโลก ซึ่งอาจส่งผลบวกต่อ GDP ไทย 0.5-1.0% ดร.พจน์ กล่าว

 

ไทยต้องมีมาตรการเชิงรุกทั้งการค้าและมนุษยชน ไม่เช่นนั้นจะตกเป็นเป้าสหรัฐฯ

 

ขณะที่ ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ ประธานคณะกรรมการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ หอการค้าไทย กล่าวว่า หนึ่งในแนวทางที่สำคัญในการลดแรงกดดันทางการค้าจากสหรัฐฯ คือ การเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารที่จำเป็นจากสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยให้ไทยมีจุดยืนที่ดีขึ้นในการเจรจาต่อรอง

 

หากพิจารณามูลค่าการค้าเฉพาะสินค้าหมวดสินค้าเกษตรกรรม (กสิกรรม, ปศุสัตว์, ประมง) และสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร พบว่าไทยเกินดุลสหรัฐฯ เพียง 2,665 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 7.5% โดยหอการค้าไทยเสนอให้รัฐบาลพิจารณาการนำเข้าสินค้ากลุ่มต่างๆ ที่ไทยยังขาดแคลน และการนำเข้าไม่กระทบต่อผู้ค้าและเกษตรกรไทย อาทิ

 

  1. พืชอาหารสัตว์ (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่วเหลือง) โดยที่ผ่านมาไทยผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่เพียงพอสำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และปัจจุบันยังต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอาจเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและหมอกควัน การเปิดโควตานำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ในช่วงนอกฤดูเก็บเกี่ยวของไทย จะช่วยให้ไทยมีทางเลือกด้านซัพพลายที่มากขึ้น

 

  1. สินค้าอาหารทะเล เช่น ปลาแซลมอนแช่แข็ง หอยเชลล์ และปลาทูน่าจากเรือชักธงสหรัฐฯ ซึ่งไทยสามารถนำเข้าวัตถุดิบเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมแปรรูปภายในประเทศ 

 

อย่างไรก็ตาม หอการค้าฯ ขอเน้นย้ำว่ารัฐบาลไทยต้องมีมาตรการเชิงรุกและเร่งด่วนในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเวทีเศรษฐกิจโลก ทั้งในมิติของการค้าระหว่างประเทศ การเมืองระหว่างประเทศ และประเด็นสิทธิมนุษยชน หากไม่มีการเตรียมพร้อมอย่างรอบด้าน ไทยอาจตกเป็นเป้าหมายของมาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ และต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และทั่วโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

 

ตอนนี้เราจะรอโอกาสไม่ได้ ต้องสร้างโอกาสร่วมกัน ไม่เช่นนั้นความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยจะกระทบแน่ และ Special Team ต้องทำงานร่วมกันทั้งรัฐและเอกชนอย่างเร่งด่วน

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising