ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (US Court of International Trade) มีคำตัดสินครั้งสำคัญเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (28 พฤษภาคม) ชี้ว่า มาตรการกำแพงภาษีทั่วโลก (Global Tariff) ส่วนใหญ่ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ ‘ผิดกฎหมาย’ และสั่งให้ระงับการบังคับใช้ ถือเป็นการสกัดกั้นนโยบายเศรษฐกิจหลักของทรัมป์ครั้งใหญ่ และอาจส่งผลกระทบต่อการค้าโลกมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์
คณะผู้พิพากษา 3 ท่าน ณ ศาลในแมนฮัตตัน มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นพ้องกับกลุ่มรัฐที่นำโดยพรรคเดโมแครตและกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กที่ยื่นฟ้องว่า ทรัมป์ได้อ้างใช้กฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินโดยมิชอบเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับกำแพงภาษีส่วนใหญ่ของเขา ศาลได้ให้เวลารัฐบาลทรัมป์ 10 วันในการดำเนินการให้เกิดผลตามคำสั่ง แต่ไม่ได้ระบุแนวทางหรือขั้นตอนที่ชัดเจนว่าต้องดำเนินการอย่างไรเพื่อยกเลิกมาตรการภาษีดังกล่าว
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินต่อศาลอุทธรณ์กลางสำหรับคดีเกี่ยวกับวงจรการค้าของรัฐบาลกลาง (US Court of Appeals for the Federal Circuit) แล้ว และคาดว่าศาลฎีกาสหรัฐฯ อาจเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดในคดีที่มีเดิมพันสูงนี้ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้คำตัดสินดังกล่าวจะมีผลเป็นการระงับการใช้กำแพงภาษีเป็นการถาวร เว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะอนุญาตให้ทรัมป์นำกลับมาใช้ใหม่ในระหว่างการพิจารณาคดี
ตลาดการเงินตอบรับเชิงบวกทันที สัญญาซื้อ-ขายล่วงหน้าดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น โดยสัญญาล่วงหน้าดัชนี Nasdaq 100 พุ่งขึ้นถึง 2.1% หลังมีคำตัดสิน ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ส่วนเงินเยนอ่อนค่าลง
การตีความกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินที่เป็นปัญหา
คำตัดสินครั้งนี้ถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชั้นศาลของทรัมป์ ซึ่งทดสอบขอบเขตอำนาจของประธานาธิบดี โดยผู้พิพากษาปฏิเสธข้อโต้แย้งของรัฐบาลที่ว่า ทรัมป์มีอำนาจในการกำหนดอัตราภาษีฝ่ายเดียวภายใต้กฎหมายที่ออกแบบมาเพื่อจัดการกับธุรกรรมทางการเงินในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติ (International Emergency Economic Powers Act: IEEPA) คำตัดสินดังกล่าวเป็นลักษณะ ‘Summary Judgment’ ซึ่งหมายถึงชัยชนะที่เด็ดขาดสำหรับฝ่ายโจทก์ในศาลชั้นต้นโดยไม่จำเป็นต้องมีการพิจารณาคดีเต็มรูปแบบ
ก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้อ้างใช้กฎหมาย IEEPA เพื่อให้เหตุผลในการตั้งกำแพงภาษีทั่วโลก โดยอ้างว่าการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ และปัญหาการลักลอบค้ายาเสพติดตามแนวชายแดน ถือเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการพิจารณาคดี ทนายความของทรัมป์ยอมรับว่าเจตนาของการตั้งภาษีคือเพื่อ ‘กดดัน’ ประเทศอื่นๆ ให้ยอมทำข้อตกลงทางการค้าที่ดีขึ้น
คณะผู้พิพากษาซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาที่ได้รับการแต่งตั้งจากทรัมป์, บารัก โอบามา และ โรนัลด์ เรแกน เขียนในคำตัดสินว่า “ข้อโต้แย้งเรื่อง ‘การกดดัน’ ของรัฐบาล เท่ากับเป็นการยอมรับโดยปริยายว่าผลโดยตรงของกำแพงภาษีที่เจาะจงรายประเทศนั้น เป็นเพียงการสร้างภาระให้กับประเทศเป้าหมาย”
ขอบเขตผลกระทบของคำสั่งศาล
คำสั่งศาลดังกล่าวจะมีผลระงับกำแพงภาษีส่วนใหญ่ของทรัมป์ ได้แก่
- กำแพงภาษีอัตราเดียวทั่วโลก (Global Flat Tariff)
- อัตราภาษีที่สูงขึ้นสำหรับจีนและประเทศอื่นๆ
- กำแพงภาษีที่เกี่ยวข้องกับยาเฟนทานิลต่อจีน แคนาดา และเม็กซิโก
อย่างไรก็ตาม กำแพงภาษีอื่นๆ ที่บังคับใช้ภายใต้อำนาจกฎหมายอื่น เช่น มาตรา 232 (Section 232) และมาตรา 301 (Section 301) ซึ่งรวมถึงภาษีเหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์ จะไม่ได้รับผลกระทบจากคำตัดสินนี้
ภาพ: Chip Somodevilla / Getty Images
อ้างอิง: