ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า มาตรการการค้าของสหรัฐฯ ในการขึ้นภาษีสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จากอัตรา 10% เป็น 25% อาจฉุดรั้งการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนลง 0.3 จุด อย่างไรก็ตาม การที่เศรษฐกิจจีนมีความเข้มแข็งขึ้น ทำให้มีความยืดหยุ่นในการรับมือกับปัจจัยภายนอกมากขึ้น
หม่าจวิน ที่ปรึกษาของธนาคารกลางจีน แสดงความเห็นผ่าน Finance News แพลตฟอร์มสื่อของแบงก์ชาติจีนว่า จีนจะออกมาตรการทางการค้า เพื่อตอบโต้กำแพงภาษีของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างแน่นอน หากสหรัฐฯ ยังเดินหน้าเก็บภาษีสินค้าจีนที่พิกัดอัตราศุลกากรใหม่
“ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จะส่งผลกระทบด้านลบต่อ GDP ของจีน คิดเป็นราว 0.3 จุด แต่ตัวเลขดังกล่าวอยู่ในกรอบที่จีนสามารถควบคุมได้” หม่าจวิน กล่าว
เขาแสดงความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า ตลาดหุ้นจีนไม่น่าจะเกิดการเทขายหุ้นอย่างตื่นตระหนกเหมือนกับเมื่อปีกลาย ถึงแม้สงครามการค้ารอบใหม่จะปะทุขึ้นก็ตาม เพราะในปีที่แล้วนักลงทุนยังไม่สามารถประเมินผลกระทบที่แท้จริงจากปัญหาขัดแย้งทางการค้าระหว่างสองประเทศได้ อีกทั้งยังกังวลถึงภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
แต่เวลานี้นักลงทุนเห็นแล้วว่า เศรษฐกิจที่แท้จริงของจีนมีอัตราการเติบโตที่น่าทึ่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยเศรษฐกิจมหภาคและนโยบายของภาครัฐ ช่วยให้ตลาดหุ้นจีนมีความยืดหยุ่นต่อปัจจัยลบภายนอกมากขึ้น
แม้ว่ามาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐฯ จะเริ่มบังคับใช้กับสินค้าจีนหลังเที่ยงคืนของวันที่ 9 พฤษภาคม ตามเวลาท้องถิ่นจีน แต่คณะเจรจาของสหรัฐฯ และจีนจะหารือกันต่อที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในวันนี้ (10 พ.ค.) โดยสองฝ่ายหวังว่าจะสามารถคลี่คลายปัญหาที่ไม่ลงรอยกันได้ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเกี่ยวกับการบังคับถ่ายทอดเทคโนโลยี การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และอื่นๆ
ที่ปรึกษาธนาคารกลางจีนกล่าวทิ้งท้ายว่า แบงก์ชาติมีเครื่องมือนโยบายการเงินที่เพียงพอในการรับมือกับความไม่แน่นอนทั้งภายในและภายนอก และจะเลือกนโยบายที่เหมาะสม เพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
