ศาลสูงสหรัฐฯ รับเรื่องพิจารณาคำอุทธรณ์ ‘ภาษีทรัมป์’ ในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยมาตรการภาษีจะยังมีผลบังคับใช้ต่อไป จนกว่าจะรู้ผลภายในมิถุนายน 2026 หากทรัมป์ผิดจริง อาจสร้างความวุ่นวายต่อการชดเชยภาษีที่เรียกเก็บไปแล้วกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์
วันที่ 9 กันยายน ตามเวลาท้องถิ่น ศาลฎีกาสหรัฐฯ ตกลงที่จะพิจารณาข้อโต้แย้ง (Hear Arguments) เกี่ยวกับมาตรการกำแพงภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ นับเป็นการพิจารณาคำอุทธรณ์ที่ดำเนินการอย่างรวดเร็ว ซึ่งเกี่ยวพันโดยตรงนโยบายเศรษฐกิจหลักของรัฐบาล
ระหว่างนี้ มาตรการภาษีนำเข้าจะยังคงมีผลบังคับใช้ในขณะที่ศาลฯ พิจารณาคดี
ทรัมป์กำลังกดดันให้ศาลฎีกา พลิกคำตัดสินของศาลชั้นต้น ที่ตัดสินว่ารัฐบาลทรัมป์กระทำเกินอำนาจตามกฎหมาย ผ่านการกำหนดภาษีนำเข้าหลายรายการ ซึ่งรวมถึงภาษี ‘Liberation Day’ ที่ประกาศในเดือนเมษายน และภาษีที่เรียกเก็บกับจีน เม็กซิโก แคนาดา เพื่อสกัดการไหลทะลักของยาเฟนทานิลด้วย
การพิจารณาคดีดังกล่าวของศาลฎีกา ซึ่งมีความเอนเอียงไปทางอนุรักษ์นิยม จะส่งผลต่อนโยบายเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของสหรัฐหลายรายการ ทั้งยังตั้งคำถามต่ออำนาจประธานาธิบดี ว่าสามารถตั้งกำแพงภาษีในยามฉุกเฉินโดยปราศจากความเห็นชอบจากสภาคองเกรสได้หรือไม่
ศาลฎีกากำหนดจะรับฟังคำโต้แย้งในสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายน พร้อมระบุว่าจะเร่งรัดกระบวนการพิจารณาให้เร็วขึ้น จากที่โดยปกติแล้ว คำตัดสินคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน
ก่อนหน้านี้ในเดือนสิงหาคม ศาลอุทธรณ์กลางในกรุงวอชิงตันมีคำตัดสินว่า ทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต โดยอ้างกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) เพื่อจัดเก็บภาษีนำเข้า โดยศาลอุทธรณ์ชี้ว่าอำนาจในการกำหนดภาษี ใดๆ ก็ตามถือเป็นอำนาจหลักของสภาคองเกรส
แต่ศาลอุทธรณ์ก็ยังอนุญาตให้ภาษีมีผลต่อไปจนกว่าศาลฎีกาจะมีคำวินิจฉัย
ถึงแม้อย่างนั้น ทรัมป์ก็ยังเร่งให้ศาลฎีกาดำเนินการพิจารณาคดีเร็วขึ้น เพราะทรัมป์ไม่รู้ว่าจะชดเชยความเสียหายอย่างไร หากผลคำตัดสินที่ล่าช้าไปถึงเดือนมิถุนายนกำหนดให้มาตรการภาษีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งหมายความว่าจะเกิดความวุ่นวายอย่างมากต่อภาษีที่เรียกเก็บไปแล้วกว่า 750,000 ล้านถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์
ข้อมูลจากศุลกากรสหรัฐฯ ระบุว่า ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2025 มีการจัดเก็บภาษีไปแล้วราว 475,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งราว 210,000 ล้านดอลลาร์ในนี้ มาจากการจัดเก็บภาษีที่กำลังถูกตรวจสอบ
คุช เดไซ โฆษกทำเนียบขาวกล่าวกับ CNN ว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายโดยใช้อำนาจภาษีที่รัฐสภาให้ไว้แก่เขาใน IEEPA เพื่อจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉินและเพื่อปกป้องความมั่นคงและเศรษฐกิจของชาติของเรา ซึ่งเราตั้งตารอชัยชนะสูงสุดในศาลฎีกา”
สัญญาณเตือนเศรษฐกิจสหรัฐฯ
มาตรการภาษีที่จะดำเนินต่อไปอีกหลายเดือน กำลังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เปราะบาง โดยสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ เผยเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ภาคการก่อสร้างและการผลิต ซึ่งเป็นภาคส่วนที่อ่อนไหวต่อมาตรการภาษี ได้ลดจำนวนพนักงานลงหลายหมื่นคน ทำให้สถานะโดยรวมของตลาดแรงงานอ่อนแออย่างมาก โดยมีการจ้างงานเพียง 22,000 ตำแหน่งเท่านั้นในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ราคาสินค้านำเข้าจำนวนมากก็มีราคาเพิ่มขึ้นจนส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค อัตราเงินเฟ้อโดยรวมเร่งตัวขึ้น และคาดว่าแนวโน้มยังคงเร่งตัวต่อไปในเดือนสิงหาคม ซึ่งจะมีการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภคในสัปดาห์นี้
แม้ผลกระทบของมาตรการภาษีเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น แต่บรรดานักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า การคงภาษีไว้จนกว่าศาลฯ จะมีคำตัดสิน อาจทำให้เศรษฐกิจมีความบอบช้ำมากขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ากระทรวงการคลัง จะบริหารคืนเงินภาษีอย่างไร หากศาลฎีกาวินิจฉัยว่าทรัมป์กระทำเกินอำนาจตามกฎหมาย IEEPA จริงในการเรียกเก็บภาษี
เท็ด เมอร์ฟี ทนายความด้านการค้าระหว่างประเทศ จาก Sidley Austin กล่าวว่า รัฐบาลอาจคืนเงินภาษีทั้งหมดที่เรียกเก็บอย่างไม่ถูกต้อง หรืออาจชดใช้ให้กับโจทก์ที่มีชื่อในคดีเท่านั้น เพื่อจำกัดคู่ความในคดี ซึ่งผู้เสียหายรายอื่นๆ จำเป็นต้องยื่นฟ้องศาลฯ ด้วยตนเอง หรืออีกทางเลือกที่เมอร์ฟีเชื่อว่าเป็นไปได้มากที่สุด คือ รัฐบาลขอให้ศาลฯ อนุมัติกระบวนการคืนเงินทางปกครอง ซึ่งผู้นำเข้าจะต้องยื่นคำร้องด้วยตนเอง
แม้สุดท้ายแล้วมาตรการภาษีภายใต้กฎหมาย IEEPA จะถูกยกเลิกไป แต่ทรัมป์ก็ยังเหลือทางเลือกอื่นๆ ในการขึ้นภาษีได้อีก เช่น การอ้างกฎหมายมาตรา 232 เพื่อเรียกเก็บภาษีในบางอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม แต่ละวิธีก็มีข้อจำกัด ทั้งด้านระยะเวลา อัตราภาษี และกระบวนการตรวจสอบ ซึ่งจะทำให้วิธีการขู่ขึ้นภาษีของทรัมป์เป็นไปได้ยากกว่าเดิม
ภาพ: Dacharlie/Getty Images
อ้างอิง:
