ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ มีคำพิพากษาวานนี้ (4 มีนาคม) ว่า รัฐโคโลราโดและรัฐต่างๆ ในสหรัฐฯ ไม่มีอำนาจแบนอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จากการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 โดยถือเป็นคำตัดสินที่ค้านกับคำตัดสินของศาลสูงรัฐโคโลราโดเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งชี้ว่าทรัมป์ไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งภายในรัฐ เนื่องจากมีส่วนปลุกปั่นยุยงให้เกิดเหตุจลาจลบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021
ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ตัดสินว่า มีเพียงสภาคองเกรสเท่านั้นที่มีอำนาจตัดสิทธิทรัมป์ โดยคำตัดสินดังกล่าวเปิดทางให้ทรัมป์สามารถชิงชัยในการเลือกตั้งขั้นต้นของรัฐโคโลราโดในวันนี้ (5 มีนาคม) ซึ่งเป็นวัน Super Tuesday ที่มีการเลือกตั้งขั้นต้นพร้อมกันใน 15 รัฐ และ 1 ดินแดน โดยทรัมป์เป็นตัวเต็งในการชิงตัวแทนพรรครีพับลิกันลงสมัครประธานาธิบดี
“เราสรุปได้ว่า รัฐต่างๆ อาจตัดสิทธิบุคคลจากการดำรงตำแหน่งหรือพยายามดำรงตำแหน่งของรัฐ แต่รัฐต่างๆ ไม่มีอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญที่จะบังคับใช้มาตรา 3 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งของรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะตำแหน่งประธานาธิบดี” คำตัดสินระบุ และชี้ว่า “มีเพียงสภาคองเกรสเท่านั้นที่สามารถบังคับใช้บทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 14 ต่อเจ้าหน้าที่และผู้สมัครของรัฐบาลกลางได้”
ทรัมป์ประกาศชัยชนะ
ทางด้านอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศชัยชนะในทันทีหลังทราบคำตัดสินของศาลสูง โดยโพสต์ข้อความใน Truth แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของเขาว่า คำตัดสินดังกล่าวเป็น ‘ชัยชนะครั้งใหญ่สำหรับอเมริกา’ พร้อมทั้งชี้ว่าคำตัดสินของศาลสูงผ่านการพิจารณามาอย่างดี และจะไปได้ไกลในการสร้างความปรองดองในประเทศ ซึ่งเขาย้ำว่าเป็นสิ่งจำเป็น
“คุณไม่สามารถดึงใครสักคนออกจากการแข่งขันได้ เพราะฝ่ายตรงข้ามต้องการแบบนั้น” ทรัมป์ระบุ
ขณะที่ เจนา กริสวอลด์ รัฐมนตรีต่างประเทศรัฐโคโลราโด กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังกับคำตัดสินของศาลสูงสุด และชี้ว่า “รัฐโคโลราโดน่าจะสามารถห้ามการก่อกบฏจากบัตรลงคะแนนของตนเองได้”
ส่วนกลุ่มประชากรเพื่อความรับผิดชอบและจริยธรรมในวอชิงตัน (Citizens for Responsibility and Ethics in Washington: CREW) ที่ติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิดได้ออกแถลงการณ์ต่อคำตัดสินดังกล่าว โดยระบุว่า “แม้ศาลจะล้มเหลวในการตอบสนองต่อช่วงเวลานั้น (ที่เกิดเหตุจลาจล) แต่ก็ยังคงเป็นชัยชนะสำหรับระบอบประชาธิปไตย เพราะทรัมป์จะถูกจารึกลงไปในประวัติศาสตร์ในฐานะผู้ก่อกบฏ”
ภาพ: Jay Paul / File Photo / Reuters
อ้างอิง: