ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (10 ตุลาคม) หลังจากข้อมูลเงินเฟ้อออกมาสูงเกินคาดและตลาดแรงงานชะลอตัว ส่งผลให้มีการถกเถียงกันว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเลือกลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้าหรือจะคงดอกเบี้ย หลัง Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ในเดือนกันยายน
หลังจากที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All-Time High) ไปก่อนหน้านี้ การเพิ่มขึ้นของดัชนี S&P 500 ได้หยุดชะงักชั่วคราว แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีจะไม่ได้ถูกมองว่าเป็นหายนะสำหรับวอลล์สตรีท แต่ก็เน้นย้ำถึงความท้าทายของ Fed ในการดึงอัตราเงินเฟ้อให้กลับมาอยู่ที่เป้าหมาย 2% โดยไม่ทำให้ตลาดแรงงานเย็นลงมากเกินไป ซึ่งทำให้เกิดการถกเถียงมากขึ้นเกี่ยวกับขั้นตอนต่อไปของ Fed ซึ่งในตอนนี้เทรดเดอร์พันธบัตรยังคงเดิมพันว่าธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ 0.25% ในการประชุม Fed ครั้งต่อไปในเดือนพฤศจิกายน
เจ้าหน้าที่ของ Fed จำนวน 3 คน ได้แก่ John Williams, Austan Goolsbee และ Thomas Barkin ไม่หวั่นไหวกับดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่สูงเกินคาด โดยระบุว่า Fed สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปได้ แต่ Raphael Bostic จาก Fed แอตแลนตา เรียกร้องให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25%ในปีนี้ แม้ Fed จะยังมีการประชุมอีก 2 ครั้งในปี 2024
Chris Larkin จาก Morgan Stanley มองว่า ตัวเลข CPI ที่สูงกว่าที่คาดไว้เล็กน้อย ไม่ได้หมายความว่าอัตราเงินเฟ้อจะพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง แต่การที่ตัวเลขนี้มาพร้อมกับจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นอาจเพิ่มความไม่แน่นอนของตลาดในระยะสั้น แม้ตัวเลขเหล่านี้จะออกมาไม่ดีนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวเลขเหล่านี้จะทำให้แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจพลิกผัน แต่หากข้อมูลเงินเฟ้อยังคงบ่งชี้ว่าราคาโดยทั่วไปปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางตลาดแรงงานที่เย็นลง การประชุมครั้งต่อไปของ Fed จะต้องมีการหารืออย่างดุเดือดมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางต่อไปของอัตราดอกเบี้ย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 57.88 จุด หรือ 0.14% อยู่ที่ 42,454.12 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 11.99 จุด หรือ 0.21% แตะที่ 5,780.05 จุด และดัชนี NASDAQ Composite ลดลง 9.57 จุด หรือ 0.05% แตะที่ 18,282.05 จุด หุ้นกลุ่มหลักส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง มีเพียงหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากตลาดรอรับการตอบโต้ของอิสราเอลต่อการโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่าน ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีแทบไม่เปลี่ยนแปลงที่ 4.07%
นักลงทุนกำลังเตรียมตัวสำหรับฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 โดยธนาคารใหญ่ๆ กำหนดจะรายงานผลประกอบการในวันนี้ (11 ตุลาคม) อัตราการเติบโตของ S&P 500 ในไตรมาสที่ 3 คาดว่าจะอยู่ที่ 5% เมื่อเทียบเป็นรายปี ตามการประมาณการที่รวบรวมโดย LSEG
อีกประเด็นที่น่าจับตามองล่าสุดคือ บริษัท Berkshire Hathaway Inc. ของ Warren Buffett ขายพันธบัตรมูลค่ากว่า 281,800 ล้านเยน หรือคิดเป็น 1,890 ล้านดอลลาร์เมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งทำให้เกิดการคาดเดาว่านักลงทุนในตำนานรายนี้จะเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ของญี่ปุ่น
นักลงทุนในตลาดหุ้นเฝ้าติดตามการระดมทุนของมหาเศรษฐีรายนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจาก Buffett ใช้เงินเยนที่ระดมทุนได้จากตลาดพันธบัตรเพื่อซื้อหุ้นในบริษัทญี่ปุ่น การเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของเขาในบริษัทซื้อขายหลักทรัพย์ 5 แห่งช่วยผลักดันให้ค่าเฉลี่ยหุ้น Nikkei 225 พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อต้นปีนี้ หาก Berkshire ขยายทางเลือกการลงทุนไปยังหุ้นอื่น เช่น ธนาคาร บริษัทประกัน และผู้ส่งสินค้า ตามที่นักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์ก็อาจทำให้ตลาดญี่ปุ่นโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้น
อ้างอิง: