×

เลือกตั้งสหรัฐฯ 2024: ศึกชิงสภาสูง รีพับลิกันมีโอกาสครองเสียงข้างมากด้วยภูมิทัศน์การเมืองที่ได้เปรียบ

10.10.2024
  • LOADING...
รีพับลิกัน

การเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ นอกจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้ว ชาวอเมริกันยังต้องใช้สิทธิเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาด้วย ซึ่งก็ถือว่ามีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตำแหน่งประธานาธิบดีในการกำหนดทิศทางและนโยบายของประเทศ

 

บทความนี้จะพาไปสำรวจสนามเลือกตั้ง สว. กันว่า เดโมแครตหรือรีพับลิกัน ใครจะมีโอกาสมากกว่ากันในการครองที่นั่งข้างมาก

 

อำนาจของวุฒิสภา

 

การผ่านร่างกฎหมายใดๆ ในสหรัฐอเมริกานั้น จำเป็นต้องได้รับการรับรองจาก 3 สถาบัน อันได้แก่ สว., สส. และทำเนียบขาว กล่าวคือ ร่างกฎหมายจะต้องได้รับการรับรองโดยเสียงส่วนมากของทั้ง สว. และ สส. ตามมาด้วยการเห็นชอบและลงนามโดยประธานาธิบดี ดังนั้นการควบคุมเสียงข้างมากให้ได้ทั้ง 2 สภาจึงเป็นเป้าหมายที่สำคัญของทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน เพื่อที่พรรคจะได้ผลักดันกฎหมายที่รองรับนโยบายของตน

 

อีกหน้าที่ที่สำคัญของ สว. คือการรับรองการแต่งตั้งตำแหน่งทางการเมืองของประธานาธิบดี เช่น รัฐมนตรี, หัวหน้าระดับสูงของหน่วยงาน, นักการทูต และผู้พิพากษา ถ้าพรรคตรงข้ามกับประธานาธิบดีครองเสียงข้างมากใน สว. ประธานาธิบดีก็อาจประสบปัญหาไม่สามารถแต่งตั้งบุคลากรที่ตนเองต้องการได้ ตัวอย่างที่โด่งดังที่สุดก็คงจะไม่พ้นกรณีที่ สว. ของพรรครีพับลิกันซึ่งครองเสียงข้างมากอยู่ในขณะนั้นไม่อนุมัติให้ประธานาธิบดีบารัก โอบามา แต่งตั้ง เมอร์ริก การ์แลนด์ ขึ้นเป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดในปี 2016

 

โครงสร้างของวุฒิสภา

 

วุฒิสภาของสหรัฐฯ ประกอบด้วย สว. ทั้งหมด 100 คนที่เป็นตัวแทนมาจากทั้ง 50 รัฐ โดยที่แต่ละรัฐมีที่นั่งในวุฒิสภาเท่ากันคือรัฐละ 2 คน ไม่ว่ารัฐนั้นจะมีประชากรมากหรือน้อยแค่ไหน ซึ่งการที่รัฐธรรมนูญกำหนดโครงสร้างของสภาสูงไว้แบบนี้ ก็เพื่อเป็นการปกป้องรัฐขนาดเล็กไม่ให้ถูกละเมิดสิทธิจากรัฐขนาดใหญ่ ต่างจากสภาล่างหรือ สส. ที่กำหนดจำนวนที่นั่งไว้ตามสัดส่วนของประชากร

การเลือกตั้ง สว. นั้นจะเป็นการเลือกตั้งในระดับรัฐ กล่าวคือ ทั้งรัฐถือเป็น 1 เขตเลือกตั้ง และ สว. จะเป็นผู้แทนของคนทั้งรัฐ วาระการดำรงตำแหน่งของ สว. นั้นอยู่ที่ 6 ปี และทุกๆ 2 ปี สว. จำนวน 1 ใน 3 จะครบวาระ และต้องมีการเลือกตั้งเพื่อหาผู้มาดำรงตำแหน่งในวาระถัดไป

 

การโหวตในวุฒิสภานั้นใช้เสียงข้างมากคือ 51 จาก 100 เสียง ในกรณีที่เสียงโหวตนั้นเท่ากันที่ 50 ต่อ 50 เสียง รองประธานาธิบดีในฐานะประธานวุฒิสภาโดยตำแหน่งจะเป็นผู้มีสิทธิออกเสียงตัดสิน (Tie-breaker) ซึ่งก็แปลได้ง่ายๆ ว่าพรรคของประธานาธิบดีต้องการแค่ 50 เสียงเพื่อที่จะโหวตชนะ ในขณะที่พรรคตรงข้ามต้องการ 51 เสียง

 

ภูมิทัศน์ของการเลือกตั้งในปี 2024

 

ในปี 2024 จะมีการเลือกตั้ง สว. ทั้งหมด 34 ที่นั่งจาก 33 รัฐ ซึ่งรวมการเลือกตั้งซ่อมในรัฐเนแบรสกา เพื่อแทนที่อดีต สว. อย่างเบน แซสซี ที่ลาออกไปเมื่อต้นปีที่แล้ว

 

ในปัจจุบันพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาด้วยจำนวน สว. 51 ที่นั่ง ในขณะที่พรรครีพับลิกันมีอยู่ 49 ที่นั่ง ดังนั้นในการเลือกตั้งครั้งนี้เดโมแครตจำเป็นต้องชิงที่นั่งคืนมาจากรีพับลิกันให้ได้อย่างน้อย 1 ที่นั่ง (ในกรณีที่โดนัลด์ ทรัมป์ชนะ) หรือ 2 ที่นั่ง (ในกรณีที่คามาลา แฮร์ริสชนะ)
 

อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มสูงมากที่เดโมแครตจะเสียที่นั่งของตัวเองไปให้รีพับลิกันแน่ๆ แล้ว 1 ที่นั่ง ซึ่งก็คือที่นั่งในรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย เพราะรัฐนี้เป็นรัฐสีแดงเข้มที่ในปี 2020 ทรัมป์ชนะโจ ไบเดนขาดลอยไปถึงเกือบ 40%

 

ที่สำคัญ สว. คนปัจจุบันของพรรคเดโมแครตอย่าง โจ แมนชิน ที่เป็นนักการเมืองสายอนุรักษนิยมคนท้ายๆ ของพรรคเดโมแครต ตัดสินใจรีไทร์ตัวเองไม่ลงเล่นการเมืองต่อ ซึ่งแมนชินถือได้ว่าเป็นนักการเมืองแทบจะคนเดียวในพรรคที่ยังสามารถชนะเลือกตั้งในรัฐสีแดงเข้มเช่นนี้ได้

 

นักวิเคราะห์ทางการเมืองรวมทั้งนักกลยุทธ์ของพรรคเดโมแครตเองดูเหมือนจะยอมทำใจแล้วว่าพวกเขาจะต้องเสียที่นั่งในรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย แน่ๆ ซึ่งก็แปลว่ารีพับลิกันจะครองเสียงข้างมากในสภาสูงได้แน่ๆ แล้วในกรณีที่ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี หรือต้องการอีกแค่ 1 ที่นั่งในกรณีที่แฮร์ริสชนะ ซึ่งการแย่งชิงที่นั่งมาให้ได้อีก 1 ที่นั่งนั้นเป็นเรื่องไม่เหลือบ่ากว่าแรงสำหรับพรรครีพับลิกันแต่อย่างใด เพราะมีถึง 7 รัฐที่พวกเขามีโอกาสล้มแชมป์เก่าจากเดโมแครต อันได้แก่ มอนแทนา, โอไฮโอ, เพนซิลเวเนีย, วิสคอนซิน, มิชิแกน, เนวาดา และแอริโซนา ส่วนสนามที่พวกเขาต้องป้องกันแชมป์เก่าจากพรรคของตัวเองมีเพียงแค่ 2 รัฐเท่านั้น ซึ่งก็คือเท็กซัส และฟลอริดา

 

มอนแทนา

 

สถานการณ์ที่มอนแทนานั้นคล้ายคลึงกับที่เวสต์เวอร์จิเนีย เพราะมอนแทนาเป็นอีกหนึ่งรัฐสีแดง แต่เดโมแครตก็ยังมีโอกาสอยู่บ้าง เพราะมอนแทนานั้นไม่แดงเข้มเท่าที่เวสต์เวอร์จิเนีย (โหวตให้ทรัมป์เหนือไบเดนที่ 16% ในปี 2020) และ สว. คนปัจจุบันของพรรคเดโมแครตอย่าง จอน เทสเตอร์ ที่มีภาพลักษณ์เป็นนักการเมืองสายกลาง (ด้วยความที่เขามีพื้นเพเป็นเกษตรกรก่อนมาเล่นการเมือง) ตัดสินใจลงป้องกันแชมป์เป็นสมัยที่ 4 โดยทางฝั่งของรีพับลิกันได้ส่งนักธุรกิจอย่าง ทิม ชีฮี มาเป็นคู่แข่ง

 

ชีฮีนั้นได้อานิสงส์จากการที่การเลือกตั้งในรอบนี้เป็นการเลือกตั้งพร้อมประธานาธิบดี และทรัมป์ก็ได้รับความนิยมอย่างมากในรัฐมอนแทนา ทำให้เขาน่าจะเกาะกระแสความนิยมและชนะไปพร้อมๆ กับทรัมป์ได้ไม่ยาก ซึ่งผลโพลล่าสุดนั้นก็ระบุว่าเขามีคะแนนนำเทสเตอร์อยู่ถึง 5% อย่างไรก็ตาม เทสเตอร์มีแบรนด์และคะแนนนิยมส่วนตัวที่ดี และเคยชนะในสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้มาแล้วถึง 3 ครั้ง ทำให้เราก็ยังไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ที่เขาจะพลิกล็อกมาชนะอีกครั้งหนึ่ง

 

โอไฮโอ

 

โอไฮโอเป็นอีกรัฐสีแดงที่ทรัมป์เอาชนะ ฮิลลารี คลินตัน และไบเดน ได้อย่างสบายๆ ทั้งในปี 2016 และ 2020 และรีพับลิกันก็คาดหวังว่าผู้สมัครของพรรคอย่าง เบอร์นี โมเรโน จะเกาะกระแสความนิยมของทรัมป์จนสามารถเอาชนะแชมป์เก่าอย่าง เชอร์รอด บราวน์ จากพรรคเดโมแครตได้

 

ปัญหาของรีพับลิกันก็คือโอไฮโอไม่ได้เป็นรัฐสีแดงเข้ม และโมเรโนก็มีคดีความติดตัว โดยเขาถูกกล่าวหาว่าโกงค่าจ้างลูกน้องในสมัยที่ทำธุรกิจเต็นท์รถ ในขณะเดียวกันแชมป์เก่าอย่างบราวน์นั้นมีภาพลักษณ์ของนักการเมืองที่ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมหนักในประเทศ ทำให้เขาเป็นขวัญใจของชาวอเมริกันใช้แรงงานผิวขาว ซึ่งเป็นโหวตเตอร์หลักของรัฐโอไฮโอ ผลโพลล่าสุดชี้ว่าบราวน์ยังมีคะแนนนำอยู่ราวๆ 3% และยังมีโอกาสที่ดีที่จะรักษาเก้าอี้ไว้ให้พรรคเดโมแครตได้

 

เพนซิลเวเนีย

 

เพนซิลเวเนียเป็นหนึ่งในรัฐสีม่วงที่ทั้งทรัมป์และแฮร์ริสมีโอกาสที่จะแพ้หรือชนะพอๆ กัน ซึ่งนั่นก็น่าจะทำให้รีพับลิกันมีโอกาสที่จะชนะการเลือกตั้ง สว. ไปด้วยหากทรัมป์ชนะเลือกตั้งในปีนี้ อย่างไรก็ตาม แชมป์เก่าอย่าง บ็อบ เคซีย์ นั้นเป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่ฝังรากลึกอยู่ในการเมืองของรัฐมาอย่างยาวนาน พ่อของเขาเคยเป็นผู้ว่าการรัฐมาก่อน ตัวเขาเองก็ผ่านการดำรงตำแหน่งที่สำคัญของรัฐ ทั้งเหรัญญิก, ผู้ตรวจบัญชี และเป็น สว. มาแล้วถึง 3 สมัย ทำให้เขามีฐานเสียงที่แน่นหนาและมีคะแนนความนิยมส่วนตัวที่สะสมมาอย่างยาวนาน

 

ถึงแม้ว่าผลโพลจะบอกว่าคะแนนของทรัมป์และแฮร์ริสเท่ากันอยู่ แต่ในเวลาเดียวกันโพลก็ชี้ว่าเคซีย์นั้นมีคะแนนนำคู่แข่งจากพรรครีพับลิกันอย่าง เดฟ แมคคอร์มิค อยู่ที่ประมาณ 6% ทำให้โอกาสที่เขาจะรักษาเก้าอี้ไว้ให้เดโมแครตนั้นก็มีสูงอยู่ ยกเว้นแต่ทรัมป์จะชนะที่เพนซิลเวเนียอย่างถล่มทลาย และแมคคอร์มิคได้เกาะกระแสความนิยมไปด้วย

 

วิสคอนซิน

 

กรณีของวิสคอนซินนั้นคล้ายกับเพนซิลเวเนียที่เป็นรัฐสีม่วงที่รีพับลิกันมีโอกาสจะชนะเลือกตั้ง สว. ในกรณีที่ทรัมป์สามารถเอาชนะแฮร์ริสได้ และก็คล้ายกับกรณีของเพนซิลเวเนียที่แชมป์เก่าของพรรคอย่าง แทมมี บอลด์วิน นั้นคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการเมืองท้องถิ่นของรัฐมาอย่างยาวนาน โดยที่เธอเป็นทั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น, สส. และเป็น สว. มาแล้ว 2 สมัย ทำให้มีคะแนนนิยมส่วนตัวที่สะสมมาอย่างยาวนาน และตอนนี้ผลโพลก็ระบุว่าเธอมีคะแนนนำเหนือคู่แข่งจากรีพับลิกันอย่าง เอริก ฮอฟเด อยู่ที่ประมาณ 5%

 

มิชิแกน

 

มิชิแกนเป็นอีกหนึ่งรัฐสีม่วงในเขตมิดเวสต์เช่นเดียวกับเพนซิลเวเนียและวิสคอนซิน และเป็นรัฐที่นักวิเคราะห์เคยมองว่ารีพับลิกันน่าจะมีโอกาสสูงสุดในการที่จะแย่งชิงที่นั่ง สว. มาจากเดโมแครตจากทั้ง 3 รัฐ เพราะแชมป์เก่าจากเดโมแครตอย่าง เด็บบี สเตบินาว ตัดสินใจรีไทร์ตัวเองไม่ลงเลือกตั้งต่ออีกสมัย อย่างไรก็ดี พรรคเดโมแครตสามารถหาทายาททางการเมืองของเธอมาได้ด้วยการส่ง เอลิซา สลอตกิน สส. 3 สมัย และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมภายใต้รัฐบาลโอบามา มาเป็นผู้แทนพรรค ในขณะที่พรรครีพับลิกันส่ง ไมค์ โรเจอร์ส อดีต สส. มาเป็นผู้แทนพรรค

 

มิชิแกนนั้นมีความเป็นเดโมแครตมากกว่ารัฐสีม่วงอื่นๆ ในเขตมิดเวสต์ เพราะหลังจากที่ทรัมป์เอาชนะคลินตันไป 0.2% ในปี 2016 ไบเดนก็กลับมาเอาชนะเขาได้ถึง 3% ในปี 2020 และในปี 2022 เดโมแครตก็เอาชนะการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐได้ถึง 10% ทำให้ไม่น่าแปลกใจว่าผลโพลในขณะนี้ยกให้แฮร์ริสนำทรัมป์อยู่ที่ 2% และสลอตกินก็นำโรเจอร์สอยู่ที่ 5%

 

เนวาดา

 

เนวาดาเป็นรัฐสีม่วงในเขตตะวันตกเฉียงใต้ที่ทรัมป์หมายมั่นปั้นมือว่าจะพลิกกลับมาชนะเดโมแครต เพราะคะแนนนิยมของทั้งแฮร์ริสและไบเดนตกต่ำลงมาเรื่อยๆ จากปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายที่เป็นปัญหาใหญ่ของรัฐในเขตนี้ รวมถึงปัญหาเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบอย่างหนักกับชาวอเมริกันรายได้น้อยที่ประกอบอาชีพบริการในลาสเวกัส เมืองเอกของรัฐ ผลโพลตอนนี้ชี้ว่าคะแนนของทรัมป์และแฮร์ริสใกล้กันมาก โดยที่แฮร์ริสเป็นต่ออยู่เล็กน้อยแค่ประมาณ 1%

 

ด้วยความสูสีของคะแนนของการเลือกตั้งประธานาธิบดี ทำให้พรรครีพับลิกันคิดว่าพวกเขาน่าจะมีโอกาสในการเลือกตั้ง สว. ด้วย โดยส่ง แซม บราวน์ ทหารผ่านศึกจากสงครามอัฟกานิสถาน มาล้มแชมป์เก่าอย่าง แจ็คกี้ โรเซน ของพรรคเดโมแครต

 

อย่างไรก็ดี โรเซนนั้นมีสายสัมพันธ์ที่ดีมากกับกลุ่มสหภาพแรงงานของพนักงานโรงแรมและคาสิโนในเมืองลาสเวกัส (มากกว่าแฮร์ริสและเดโมแครตคนอื่นๆ) อันเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เธอชนะการเลือกตั้งถึง 5% ในปี 2016 และผลโพลในตอนนี้ก็ระบุว่าเธอมีคะแนนนำบราวน์ถึง 9% เลยทีเดียว

 

แอริโซนา

 

แอริโซนาเป็นอีกหนึ่งรัฐสีม่วงในเขตตะวันตกเฉียงใต้ที่เคยเป็นรัฐสีแดงมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งไบเดนพลิกล็อกเอาชนะทรัมป์อย่างฉิวเฉียด (0.3%) ได้เป็นครั้งแรกในปี 2020 โดยที่ไบเดนได้คะแนนโหวตจากกลุ่มผู้สูงอายุที่อพยพมาเกษียณอายุในเขตชานเมืองฟีนิกซ์ ที่ไม่พอใจทรัมป์อย่างมากจากการบริหารจัดการวิกฤตโรคโควิดได้ไม่ดีพอ

 

อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้งปี 2020 นั้น ปัญหาโรคโควิดไม่ได้เป็นประเด็นทางการเมืองอีกต่อไปแล้ว ทำให้แอริโซนากลับไปสู่ความเป็นรัฐสีแดงอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นคะแนนนิยมของทั้งแฮร์ริสและไบเดนก็ตกต่ำลงมาเรื่อยๆ จากปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย โดยที่ผลโพลระบุว่าทรัมป์กลับมามีคะแนนนำอยู่ที่ประมาณ 2%

 

ยิ่งไปกว่านั้น แชมป์จากเดโมแครตอย่าง คริสเตน ซินีมา ซึ่งเป็น สว. สายกลางของพรรค มีปัญหาขัดแย้งกับนักการเมืองฝ่ายซ้ายของพรรค จนตัดสินใจรีไทร์ตัวเองไม่ลงเล่นการเมืองต่ออีกสมัย และพรรคก็ส่งนักการเมืองฝ่ายซ้ายอย่าง รูเบน กัลลีโฮ ซึ่งเป็น สส. จากเมืองฟีนิกซ์ มาเป็นผู้แทนพรรคในการเลือกตั้งครั้งนี้

 

ด้วยความที่แอริโซนาสวิงกลับไปทางขวา และเดโมแครตมีปัญหาความขัดแย้งภายใน ทำให้ตามหน้ากระดาษแล้วรีพับลิกันน่าจะมีโอกาสดีที่จะพลิกกลับมาชนะการเลือกตั้ง สว. ที่นี่ อย่างไรก็ดี รีพับลิกันกลับเลือก แครี เลค มาเป็นผู้แทนพรรค ซึ่งเลคมีชื่อเสียงโด่งดังในระดับประเทศ ในฐานะที่เป็นโฆษกอย่างไม่เป็นทางการให้กับทรัมป์ในการช่วยทรัมป์โกหกกับสาธารณชนว่าเดโมแครตโกงผลการเลือกตั้งในปี 2020 ซึ่งก็ทำให้เธอถูกฟ้องร้องหมิ่นประมาทหลายสิบคดี (และเธอก็แพ้ทุกคดี เพราะข้อเท็จจริงคือการเลือกตั้งนั้นเป็นไปอย่างสุจริต) ทำให้เธอถูกสาธารณชนมองว่าเป็นบุคคลที่เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย เพราะเธอไม่ยอมรับเสียงข้างมากจากประชาชน ซึ่งนั่นก็สะท้อนออกมาในโพลที่กัลลีโฮมีคะแนนนำเธอถึง 8%

 

เท็กซัส และฟลอริดา

 

เท็กซัส และฟลอริดา เป็นรัฐสีแดงที่โหวตให้ทรัมป์ 6% และ 4% ตามลำดับในปี 2020 ซึ่งในปีนี้นักวิเคราะห์ก็คาดว่าทรัมป์น่าจะชนะทั้ง 2 รัฐอย่างสบายๆ อีกครั้ง ทำให้ สว. แชมป์เก่าจากรีพับลิกันอย่าง เท็ด ครูซ และ ริค สกอตต์ สามารถรักษาเก้าอี้ไว้ได้อย่างไม่ยากเย็น

 

อย่างไรก็ตาม ผลโพลที่ออกมากลับสูสีกว่าที่คาด โดยที่ครูซนำผู้ท้าชิงจากเดโมแครตอย่าง คอลลิน ออลเรด ซึ่งเป็น สส. จากเขตเมืองดัลลัส อยู่ที่ประมาณ 3% ในขณะที่สกอตต์มีคะแนนนำ เด็บบี มูคาร์เซล-โพเวลล์ ผู้ท้าชิงจากเดโมแครต และอดีต สส. จากไมอามี อยู่ที่ 4% ซึ่งก็เป็นผลมาจากความนิยมส่วนตัวที่ไม่ค่อยดีของครูซและสกอตต์ ในขณะนี้โอกาสที่เดโมแครตจะพลิกกลับมาได้ทั้ง 2 สนามยังคงน้อยอยู่ แต่หากคะแนนของทรัมป์ตกต่ำลงที่ 2 รัฐนี้ เราก็อาจเห็นเซอร์ไพรส์ก็ได้

 

ในภาพรวมเราจะเห็นได้ว่าเดโมแครตน่าจะเสียที่นั่งไป 1 ที่แน่ๆ และมีโอกาสน้อยที่จะชิงที่นั่งมาจากเท็กซัสและฟลอริดา ทำให้รีพับลิกันน่าจะครองเสียงข้างมากในสภาสูงเกือบจะแน่นอนในกรณีที่ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี หรือแม้แต่กรณีที่แฮร์ริสได้เป็นประธานาธิบดี พวกเขาก็น่าจะมีโอกาสสูงที่จะได้ที่นั่งลำดับที่ 51 จากรัฐมอนแทนา

 

ภาพ: Saul Loeb / AFP

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X