รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มถอนนักการทูต และครอบครัวทหารที่ไม่จำเป็นออกจากบางประเทศในตะวันออกกลาง เพื่อรับมือความเสี่ยงและความกังวลด้านความปลอดภัย โดยคาดว่ามีชนวนเหตุเชื่อมโยงจากความตึงเครียดระหว่างอิหร่านและอิสราเอลที่เพิ่มขึ้นในช่วงนี้
ประกาศดังกล่าวที่เผยแพร่วานนี้ (11 มิถุนายน) ระบุถึงการอพยพตามคำสั่ง หรือตามความสมัครใจ โดยครอบคลุมสถานทูตและฐานทัพสหรัฐฯ ในอิรัก บาห์เรน คูเวต และสถานกงสุลสหรัฐฯ ในเมืองเออร์บิล ภูมิภาคเคอร์ดิสถานของอิรัก
ทางการสหรัฐฯ ไม่ระบุเหตุผลชัดเจนในการสั่งอพยพอย่างกะทันหันนี้ แต่เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมเปิดเผยว่า กองบัญชาการกลางของสหรัฐฯ กำลังเฝ้าติดตาม “ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง” และย้ำความจำเป็นในการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของสมาชิกกองทัพและครอบครัว
ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์นักข่าว โดยชี้ว่าคำสั่งอพยพมีขึ้นเนื่องจากสถานที่ดังกล่าวเป็นอันตราย
“พวกเขาถูกย้ายออกไปเพราะอาจเป็นสถานที่ที่อันตราย และเราจะรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาถูกย้ายออกไปแล้ว หรือเราแจ้งให้พวกเขาย้ายออกไปแล้ว และเราจะรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ทรัมป์กล่าว
แผนการอพยพดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ความตึงเครียดระหว่างอิหร่านและอิสราเอลทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ขณะที่การเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างรัฐบาลทรัมป์ กับอิหร่านหยุดชะงักลง โดยทรัมป์กล่าวว่า เขามีความมั่นใจน้อยลงในการบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน และเตือนว่าทางเลือกอื่นของข้อตกลงอาจเป็นความขัดแย้ง
ซึ่งทาง อาซิซ นาซีร์ซาเดห์ (Aziz Nasirzadeh) รัฐมนตรีกลาโหมอิหร่าน ตอบโต้กลับ โดยขู่ว่าจะโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ในภูมิภาค หากความพยายามเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ล้มเหลว และเกิดการโจมตีทางทหารต่ออิหร่าน
ภาพ: John Moore / Getty Images
อ้างอิง: