โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ประกาศว่า ได้บรรลุข้อตกลงการค้าครั้งใหญ่กับญี่ปุ่นในคืนวันอังคารที่ผ่านมา (22 กรกฎาคม) ตามเวลาท้องถิ่น โดยเรียกข้อตกลงนี้ว่าเป็น “ข้อตกลงการค้าที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” ระหว่างสองประเทศพันธมิตรที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ
โดยทรัมป์กล่าวระหว่างการพบกับสมาชิกรัฐสภาจากพรรครีพับลิกันว่า
“ผมเพิ่งเซ็นข้อตกลงการค้าที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ อาจใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์กับญี่ปุ่น”
ภายใต้ข้อตกลงนี้ สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าญี่ปุ่นในอัตรา 15% โดยเป็นภาษีแบบ “reciprocal tariffs” ซึ่งครอบคลุมถึงรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ด้วย ซึ่งเป็นจุดที่ถือเป็นความได้เปรียบสำคัญของญี่ปุ่น เมื่อเทียบกับผู้ส่งออกรถยนต์รายอื่นๆ ที่ยังคงถูกเก็บภาษีในอัตรา 25% ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังระบุว่า ญี่ปุ่นจะลงทุนในสหรัฐฯ เป็นมูลค่า 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสหรัฐฯ จะได้รับผลตอบแทนจากดีลนี้ถึง 90% ของกำไร
ทรัมป์โพสต์ใน Truth Social ว่า “ข้อตกลงนี้จะสร้างงานหลายแสนตำแหน่ง ไม่มีอะไรแบบนี้มาก่อน ญี่ปุ่นจะเปิดตลาดสำหรับรถยนต์ รถบรรทุก ข้าว และสินค้าเกษตรอื่นๆ รวมถึงสินค้าหลายประเภท โดยญี่ปุ่นจะจ่ายภาษีให้สหรัฐฯ ในอัตรา 15%”
ด้าน เรียวเซ อะคาซาวะ หัวหน้าคณะเจรจาภาษีของญี่ปุ่น โพสต์ภาพตัวเองในทำเนียบขาวชี้ไปยังภาพที่ทรัมป์พบกับชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น พร้อมข้อความว่า “ภารกิจสำเร็จ”
อะคาซาวะกล่าวกับผู้สื่อข่าวในกรุงวอชิงตันว่า ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศแรกในโลกที่สามารถลดภาษีสำหรับรถยนต์และชิ้นส่วนโดยไม่มีโควตาจำกัด ขณะที่ฝั่งนายกรัฐมนตรีอิชิบะ กล่าวในโตเกียวว่า “นี่เป็นอัตราภาษีที่ต่ำที่สุดในบรรดาประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ รัฐบาลจะตรวจสอบรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน และเชื่อว่าจะช่วยสร้างงาน ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ และสร้างบทบาทใหม่ๆ บนเวทีโลกจากความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ”
อะคาซาวะอธิบายเพิ่มเติมว่า เงินลงทุน 550,000 ล้านดอลลาร์จะมาในรูปแบบของทุนและเงินกู้ เพื่อสนับสนุนการลงทุนของบริษัทญี่ปุ่นในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในสาขายาและเซมิคอนดักเตอร์
เขายังกล่าวว่า สัดส่วนการนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ อาจเพิ่มขึ้นภายใต้กรอบข้อตกลงด้านการเกษตรฉบับนี้ แต่ย้ำว่าข้อตกลงนี้จะไม่กระทบต่อเกษตรกรญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นยังคงเจรจากับสหรัฐฯ ต่อในประเด็นที่ยังไม่รวมอยู่ในข้อตกลงฉบับนี้ เช่น ภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม ที่ยังคงอยู่ในอัตรา 50%
อย่างไรก็ตาม มีรายงานจากสื่อญี่ปุ่นวันนี้ (23 กรกฎาคม) ว่า นายกรัฐมนตรีอิชิบะ เตรียมประกาศลาออกจากตำแหน่งภายในสิ้นเดือนหน้า หลังพ่ายแพ้การเลือกตั้งวุฒิสภาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (20 กรกฎาคม) ซึ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียเสียงข้างมาก
อิชิบะกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เขาจะยังไม่ให้ความเห็นว่า ข้อตกลงภาษีกับวอชิงตันจะมีผลต่อการตัดสินใจลาออกหรือไม่ โดยขอรอดูรายละเอียดของข้อตกลงให้ชัดเจนก่อน พร้อมเผยว่า ได้แจ้งคนใกล้ชิดไว้ตั้งแต่คืนวันอังคารว่า เขาจะพูดถึงความรับผิดชอบหลังดีลกับสหรัฐฯ ได้ข้อสรุป
หากอิชิบะลาออกภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีนับจากเข้ารับตำแหน่ง จะทำให้พรรครัฐบาลพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ต้องเผชิญศึกการแย่งชิงอำนาจภายใน ท่ามกลางแรงกดดันจากพรรคการเมืองใหม่สายขวาที่กำลังดึงฐานเสียงออกไปอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ในเอเชีย นอกจากญี่ปุ่นที่บรรลุข้อตกลงสำเร็จแล้ว ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีอินโดนีเซีย และล่าสุดฟิลิปปินส์ ส่วนประเทศอื่นๆ เช่น สหภาพยุโรป เกาหลีใต้ อินเดีย รวมถึงไทย และอีกหลายประเทศยังไม่คืบหน้า ขณะที่เส้นตาย 1 สิงหาคมที่สหรัฐฯ จะเริ่มเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีกระลอกใกล้เข้ามา
ภาพ: Shuji Kajiyama/Pool via REUTERS Nathan Howard / REUTERS
อ้างอิง:
- https://www.reuters.com/world/japans-prime-minister-ishiba-quit-after-election-drubbing-local-media-report-2025-07-22/
- https://edition.cnn.com/2025/07/22/business/japan-trade-agreement-us