ข้อมูลที่สหรัฐฯ รวบรวมได้จากการดักฟังการสื่อสารยืนยันว่า กลุ่มรัฐอิสลาม สาขาอัฟกานิสถาน หรือ ISIS-K เป็นผู้ก่อเหตุระเบิด 2 ครั้งซ้อนเมื่อวันพุธที่แล้ว (3 มกราคม) ที่เมืองเคอร์มาน ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอิหร่าน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 คน
ก่อนหน้านี้เมื่อวันพฤหัสบดี กลุ่ม IS หรือ ISIS ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายดังกล่าว ซึ่งถือเป็นเหตุระเบิดที่ร้ายแรงที่สุดในอิหร่านนับตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามปี 1979 โดยระบุว่า สมาชิกกลุ่มจำนวน 2 คน ได้จุดชนวนเข็มขัดระเบิดท่ามกลางฝูงชนในงานรำลึกวันครบรอบการเสียชีวิตของนายพล คาเซม โซเลมานี ผู้บัญชาการทหารอาวุโสที่ถูกลอบสังหารในอิรักจากการโจมตีด้วยโดรนของสหรัฐฯ เมื่อปี 2020
อย่างไรก็ตาม กลุ่มรัฐอิสลามไม่ได้ระบุว่ากลุ่มพันธมิตรที่มีฐานอยู่ในอัฟกานิสถาน หรือที่รู้จักในชื่อ ISIS-Khorasan (ISIS-K) เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิด จนกระทั่งล่าสุดเมื่อวันศุกร์จึงได้มีการยืนยันเรื่องดังกล่าว โดยแหล่งข่าวเปิดเผยกับสำนักข่าว Reuters ว่า “สหรัฐฯ มีข้อมูลที่ค่อนข้างชัดเจน” ว่า ISIS-K เป็นผู้ก่อเหตุโจมตี
แหล่งข่าว 2 คนซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อกล่าวว่า ข่าวกรองที่สหรัฐฯ ได้มานั้นประกอบด้วยข้อมูลที่ได้จากการดักฟังการสื่อสาร โดยไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
“ข่าวกรองนั้นชัดเจนและไม่มีข้อสงสัย” แหล่งข่าวคนหนึ่งกล่าว
อย่างไรก็ดี สำนักข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA) ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
กลุ่ม IS ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธมุสลิมนิกายซุนนี มองว่าชาวมุสลิมนิกายชีอะห์เป็นผู้ละทิ้งความเชื่อ จึงมีความเกลียดชังอย่างรุนแรงต่อชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ ซึ่งเป็นนิกายหลักในอิหร่าน และมักเป็นเป้าหมายของการโจมตีของกลุ่มพันธมิตรในอัฟกานิสถาน
ในอดีต กลุ่ม IS ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุโจมตีมัสยิดชีอะห์ในอิหร่านเมื่อปี 2022 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 15 คน รวมทั้งเหตุระเบิดรัฐสภาและอนุสรณ์สถานของผู้นำการปฏิวัติอิสลาม อยาตอลเลาะห์ โคไมนี เมื่อปี 2017
ทั้งนี้ แม้ว่าการปราบปรามของกลุ่มตาลีบันทำให้ ISIS-K อ่อนแอลง และผลักดันให้สมาชิกบางคนต้องหลบหนีออกจากอัฟกานิสถานไปยังประเทศเพื่อนบ้าน แต่ ISIS-K ยังคงมุ่งวางแผนปฏิบัติการโจมตีในต่างประเทศ
เหตุการณ์ระเบิดในอิหร่านเมื่อวันพุธ ทำให้สถานการณ์ในภูมิภาคตึงเครียดยิ่งขึ้น จากปัจจุบันที่ระส่ำอยู่แล้วจากสงครามระหว่างอิสราเอล-ฮามาสในฉนวนกาซา และการโจมตีเรือขนส่งสินค้าในทะเลแดงโดยกลุ่มฮูตีในเยเมน
ภาพ: Getty Images
อ้างอิง: