นักเศรษฐศาสตร์ออกโรงเตือนสหรัฐฯ เสี่ยงเผชิญภาวะสมองไหล (Brain Drain) หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมในการยื่นขอวีซ่า H-1B สูงถึง 100,000 ดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้ภาคธุรกิจต้องกับค่าธรรมเนียมส่วนนี้ที่เพิ่มขึ้น 50 – 60 เท่า
อย่างไรก็ตาม บรรดาบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีส่วนใหญ่กลับสนับสนุนแนวทางการดำเนินงานของทรัมป์ ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลของประเทศต่างๆ เตรียมผ่อนปรนเงื่อนไขวีซ่า เพื่อดึงดูดบุคลากรศักยภาพสูงเข้าไปในประเทศ
สหรัฐฯ เสี่ยงเผชิญ ‘ภาวะสมองไหล’
โครงการวีซ่า H-1B ถือเป็นหัวใจสำคัญในการดึงดูดแรงงานต่างชาติที่มี ‘ทักษะเฉพาะทาง’ เข้ามาทำงานในสหรัฐฯ ทั้งในสายงานด้านสาธารณสุข เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมการเงิน ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่สนับสนุนให้ดำเนินโครงการต่อไป
Atakan Bakiskan นักเศรษฐศาสตร์จาก Berenberg กล่าวว่า ค่าธรรมเนียมการยื่นขอวีซ่าที่แพงขึ้น จะทำให้ภาคธุรกิจสหรัฐฯ ต้องแบกรับต้นทุนแรงงานต่างชาติที่แพงขึ้นด้วย
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังต้องเผชิญกับภาวะสมองไหล เนื่องจากว่านักเรียนต่างชาติจำนวนมากจะต้องเดินทางออกนอกสหรัฐฯ เพื่อหางานทำในประเทศอื่นๆ ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯ ต้องสูญเสียผลิตภาพแรงงานทักษะสูงเหล่านี้ไป
ที่สำคัญ Bakiskan ระบุว่า การลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะหลังนี้ ก็ไม่อาจชดเชยความเสียหายจากทุนมนุษย์ (Human Capital) ที่เสียไปได้
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อพิจารณาผลกระทบร่วมกับปัญหาอื่นๆ ของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น การสูญเสียทุนมนุษย์ สถาบันทั้งด้านกฎหมายและการเมืองที่เสื่อมความเชื่อมั่นลงอย่างมาก การตั้งกำแพงภาษี (Tariffs) หรือแม้แต่นโยบายการคลังอื่นๆ ที่อาจนำมาซึ่งวิกฤตการเงิน ทั้งหมดนี้ Bakiskan ชี้ว่าจะทำให้สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่ากว่าเดิม รวมถึงต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลจะแพงขึ้นด้วย
ส่วน Kathleen Brooks ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยจาก XTB บริษัทโบรกเกอร์ชั้นนำจากยุโรปกล่าวว่า บริษัทเทคขนาดใหญ่จะไม่เดือดร้อนจากการเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียมในครั้งนี้ แต่บริษัทที่มีขนาดเล็กกว่า หรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่ทำเงินน้อยกว่า เช่น บริการสุขภาพ และภาคการศึกษาจะต้องเผชิญความยากลำบากในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนบางส่วนกลับมองต่างออกไป และสนับสนุนการดำเนินการของโดนัลด์ ทรัมป์อย่างเต็มที่
บริษัทเทคยักษ์ใหญ่อาจไม่เดือดร้อน
แม้นักเศรษฐศาสตร์จะแสดงความเป็นกังวลอย่างมาก แต่บรรดาซีอีโอของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่กลับออกมาแสดงทัศนะเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B ซึ่งสอดคล้องตามการประเมินของ Brooks
เจนเซน หวง ซีอีโอ Nvidia กล่าวชื่นชมการดำเนินงานของทรัมป์ในครั้งนี้ว่า “ผู้อพยพมีความสำคัญต่อบริษัทของเราอย่างมาก เช่นเดียวกับที่มีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศชาติ ซึ่งผมยินดีกับสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังทำอยู่นะ”
ส่วนแซม อัลต์แมน มองว่าการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว เพราะ “เราต้องการคนที่ฉลาดสุดๆ มาทำงานกับเรา ซึ่งการปรับระบบดึงดูดคนใหม่ รวมถึงการปรับแรงจูงใจทางการเงิน สำหรับผมแล้วฟังดูเป็นเรื่องดีเลยนะ”
สำหรับ รี้ด เฮสติ้งส์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบอร์ดของ Netflix ก็ได้ออกมากล่าวยกย่องแผนขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B ว่า เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ยอดเยี่ยม
โดยโพสต์ผ่าน X ดังนี้ “วีซ่า H-1B จะถูกนำมาใช้กับตำแหน่งงานที่มีมูลค่าสูง ระบบการสุ่มด้วยลอตเตอรี่แบบเดิมจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป ทำให้ระบบการจ้างตำแหน่งงานลักษณะนี้เชื่อมั่นได้มากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม เควิน โอเลียรี นักลงทุนชาวแคนาดาจากรายการ Shark Tank กลับแสดงมุมมองเชิงลบต่อการขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B ในครั้งนี้ โดยกล่าวว่าจะกระทบต่อการจ้างงานของบริษัทขนาดเล็ก และยังผลักให้แรงงานศักยภาพสูงไหลออกนอกประเทศ ซึ่งไม่ดีต่อการพัฒนานวัตกรรมในระยะยาว
ท่ามกลางข้อถกเถียงที่แตกต่างกันไปในสหรัฐฯ บรรดารัฐบาลหลายประเทศกลับเห็นโอกาสสำคัญในการเร่งดึงบุคลากรเข้ามาช่วยเพิ่มผลิตภาพแรงงานของตัวเอง
จับตานานาชาติเล็งดูดคนเก่งเข้าประเทศ
แม้ความเห็นจะแตกต่างกันไประหว่างนักวิชาการและนักธุรกิจ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลในประเทศต่างๆ เลือกอาศัยจังหวะที่สหรัฐฯ คุมเข้มการย้ายถิ่นฐานนี้ ให้เป็นโอกาสสำคัญในการสรรหาแรงงานศักยภาพสูงเข้ามาในประเทศ
ด้านคัง ฮุนซิก หัวหน้าคณะทำงานประจำทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้สั่งการไปยังบรรดารัฐมนตรีต่างๆ เพื่อเร่งหาวิธีดึงตัวนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรจากสหรัฐฯ มาพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในประเทศ โดยระบุว่ารัฐบาลได้วางแผนงบประมาณปีต่อไปสำหรับโครงการริเริ่มปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว
ก่อนหน้านี้ เกาหลีใต้เปิดโครงการ K-Tech Pass เพื่อดึงดูดแรงงานทักษะสูงจากต่างชาติ ที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยระดับ Top 100 ของโลก และมีประสบการณ์ทำงานอย่างน้อย 3 ปีในบริษัทใหญ่ระดับ Top 500 ของโลก
ขณะเดียวกัน จีนเองก็เตรียมเปิดตัวโครงการวีซ่าในลักษณะเดียวกันกับ K-Tech Pass เพื่อดึงดูดแรงงานทักษะสูงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศจีนปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นต่อการเปลี่ยนแปลงของสหรัฐฯ แต่ระบุว่าพร้อมต้อนรับบุคลากรแนวหน้าจากทั่วโลก
ด้านเคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ซึ่งกำลังพิจารณาข้อเสนอเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าบางส่วน สำหรับบุคลากรที่มีความสามารถสูงระดับโลก และอยู่ในช่วงขั้นตอนการหารือ ซึ่งความเคลื่อนไหวล่าสุดของทรัมป์อาจผลักดันให้อังกฤษตัดสินใจง่ายขึ้น
ภาพ: Evgenia Parajanian/Getty Images
อ้างอิง:
- https://www.theguardian.com/business/2025/sep/22/trump-h-1b-visa-fees-us-economy-tech-india
- https://www.businessinsider.com/business-leaders-react-trump-h-1b-visa-fee-2025-9#jensen-huang-1
- https://www.reuters.com/world/china/reverse-brain-drain-governments-hope-lure-talent-after-us-visa-change-2025-09-22/
- https://fortune.com/2025/09/22/fortune-500-companies-most-affected-trump-h1b-visa-fee-immigration/