ในรอบเดือนที่ผ่านมานี้ หนึ่งเรื่องที่นักลงทุนต่างให้ความสนใจกันมากคือ การประเมินมูลค่าทองคำสำรองรอบใหม่ของสหรัฐฯ หลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ให้ถ้อยแถลงในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ชี้ถึงแผนการสร้างรายได้จากสินทรัพย์ที่มีอยู่ในงบดุลของสหรัฐฯ เพื่อชาวอเมริกัน ซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าวนำไปสู่คาดการณ์ของตลาดที่ว่า สหรัฐฯ อาจมีแผนการทบทวนมูลค่าทองคำสำรอง (Gold Revaluation) ที่มีอยู่ราว 8,133.53 เมตริกตัน ซึ่งนับเป็นประเทศที่ถือครองทองคำสำรองมากเป็นอันดับ 1 ของโลก
Gold Revaluation อาจเพิ่มมูลค่าทองคำสำรองของสหรัฐฯ สู่ 7.3 แสนล้านดอลลาร์
ในปีนี้ ราคาทองคำมีการปรับตัวขึ้นสร้างระดับสูงสุดตลอดกาลใหม่อีกหลายครั้ง โดยครั้งล่าสุดที่ 2,955.99 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งนับเป็นการปรับตัวขึ้นราว 16.51% จากระดับต่ำสุดในช่วงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปลายปีที่ผ่านมา เพิ่มมุมมองเชิงบวกด้านราคาของทองคำ ชี้นำให้เกิดความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการปรับตัวขึ้นสร้างระดับสูงสุดได้เหนือ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในปีนี้
อย่างไรก็ดี ทราบหรือไม่ว่า แม้ราคาทองคำในตลาดมีการปรับตัวขึ้นมามากแล้วเพียงใด แต่กระนั้น มูลค่าทองคำสำรองของสหรัฐฯ ไม่ได้มีการขยับตาม เนื่องด้วยมูลค่าทองคำสำรองของสหรัฐฯ นั้น ถูกตรึงไว้ที่ระดับ 42.22 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้มูลค่าทองคำสำรองทั้งหมดอยู่ที่เพียง 1.05 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยมูลค่าดังกล่าว ถูกตั้งค่าไว้ตั้งแต่การทบทวนมูลค่าทองคำสำรองในปี 1973 ซึ่งหากมีการทบทวนมูลค่าทองคำสำรองของสหรัฐฯ ใหม่อีกครั้ง โดยสมมติให้มีการปรับมาตรึงมูลค่าที่ 2,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ พบว่า มูลค่าทองคำสำรองสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 7.30 แสนล้านดอลลาร์
แรงจูงใจในการทบทวนมูลค่าทองคำรอบใหม่ของรัฐบาลทรัมป์ 2.0
อนึ่ง การทบทวนมูลค่าดังกล่าวนั้น มีผลกระทบต่อการบันทึกงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) โดยแม้ Fed ไม่ได้เป็นผู้ครอบครองทองคำไว้ ดังเช่นธนาคารกลางแห่งอื่น แต่ Fed มีการถือใบรับรองทองคำ (Gold Certificates) ที่ออกโดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ซึ่งถูกนับรวมเป็นส่วนหนึ่งของระดับทุนสำรองระหว่างประเทศ (International Reserve) แต่ Fed ไม่มีอำนาจในการบริหารทุนสำรองในส่วนของทองคำ แตกต่างจากธนาคารกลางแห่งอื่น ที่จะสามารถเพิ่ม-ลดระดับทองคำสำรองได้ ตามอำนาจในการบริหารทุนสำรองฯ
หากมีการทบทวนมูลค่าทองคำสำรองครั้งใหม่ โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจากการทบทวนทุนสำรอง จะเพิ่มขนาดงบดุลของ Fed อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ขณะเดียวกัน บัญชีทั่วไปของกระทรวงการคลัง หรือ Treasury General Account (TGA) ที่ถือครองโดย Fed คล้ายกับบัญชีเงินทุนสำรองที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับธนาคารกลาง อันนับเป็นส่วนหนี้สินในงบดุลของธนาคารกลาง ซึ่งในกระบวนการทบทวนมูลค่าทองคำรอบใหม่นี้ จะมีการบันทึกส่วนเพิ่มของมูลค่าทองคำดังกล่าวด้วยเช่นกัน
ดังนั้น วิธีการดังกล่าวนี้ จึงเสมือนการเพิ่มศักยภาพในการใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นราว 7.2 แสนล้านดอลลาร์ หากสมมติมูลค่าที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว สามารถนำไปใช้คืนหนี้สาธารณะได้ ระดับหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ จะสามารถลดลงได้ถึงราว 20.0% หรือหากนำทองคำสำรองออกขายบางส่วน รัฐบาลสหรัฐฯ ก็จะมีเงินทุนสำหรับใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นได้เช่นกัน
Gold Revaluation สถานการณ์เชิงบวกต่อราคาทองคำ?
กระบวนการทบทวนทองคำดังข้างต้นนี้ จะเป็นสถานการณ์เชิงบวกของทองคำหรือไม่ นั้นขึ้นอยู่กับว่า กระทรวงการคลังจะจัดการอย่างไรกับทองคำสำรองที่มีอยู่ หลังการทบทวนมูลค่าแล้ว โดยหากรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้ทำอะไรกับทองคำสำรองดังกล่าว มีแนวโน้มว่า การทบทวนมูลค่าดังกล่าว จะมีส่วนหนุนการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำรอบใหม่ เพราะคาดว่าสหรัฐฯ มีแนวโน้มตั้งค่าราคาทองคำไว้ต่ำกว่าระดับราคาตลาด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์ที่ราคาตลาดของทองคำลดลงต่ำกว่า มูลค่าทองคำที่ตั้งค่าไว้ของสหรัฐฯ
ในทางกลับกันหากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ขายทองคำบางส่วนออกมา เพื่อใช้ช่องว่างของต้นทุนราคาทองคำที่ต่ำทำกำไรจากราคาทองคำในปัจจุบัน จะส่งผลให้ราคาทองคำเผชิญกับสถานการณ์เชิงลบอย่างมากได้ โดยสมมติในกลยุทธ์การปรับพอร์ตการลงทุนตามสัดส่วน (Rebalancing) คือ มูลค่าทองคำสำรองของสหรัฐฯ เดิมอยู่ที่ 1.05 หมื่นล้านดอลลาร์ ปรับขึ้นมาที่ 2.50 แสนล้านดอลลาร์ แต่หากมูลค่าตลาด เท่ากับ 7.30 แสนล้านดอลลาร์ แล้วขายทองคำราว 4.30-4.50 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อทำกำไรจากช่องว่างระหว่างมูลค่าตามบัญชีและมูลค่าตลาด การดำเนินการเช่นนี้ ไม่ต่างจากการขายทุ่มตลาดแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน กระบวนการทบทวนราคาทองคำนี้ อาจทำให้ Fedอาจจำเป็นต้องยืดอายุการทำ Quantitative Tightening (QT) ออกไป จากเดิมที่ Fed ส่งสัญญาณว่า อาจยุติการทำ QT ได้ในอนาคตอันใกล้นี้ สถานการณ์เช่นนี้ หนุนการทรงตัวในระดับสูงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ นับเป็นอีกแรงกดดันต่อราคาทองคำด้วยเช่นกัน
ในอีกกรณี หากไม่ได้มีการขายทองคำ แต่ใช้ช่องว่างของมูลค่าสินทรัพย์ดังกล่าว ออกพันธบัตรเพิ่ม นั่นอาจเป็นสถานการณ์เชิงบวกต่อราคาทองคำ เนื่องด้วยวิธีการเช่นนี้ มีความคล้ายกับการทำ QE มากยิ่งขึ้น แต่จากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของปริมาณพันธบัตร ขณะที่ Fed มีการยืดระยะการทำ QT อาจมีส่วนจำกัดแรงบวกต่อราคาทองคำ
อย่างไรก็ดี การดำเนินการกับทองคำดังกล่าวของสหรัฐฯ นั้น อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าทุนสำรองฯ ของทุกประเทศได้เช่นกัน โดยทั้งการขายทองคำของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ หรือการเดินหน้าทำ QT ต่อของ Fed ล้วนมีส่วนบั่นทอนมูลค่าทุนสำรองฯ ที่มีส่วนประกอบเป็นทองคำและพันธบัตรสหรัฐฯ ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งจึงคาดว่า สภาคองเกรสอาจไม่อนุมัติให้ทบทวนราคาทองคำรอบใหม่ อย่างที่บางส่วนของตลาดกำลังเก็งอยู่ เนื่องด้วยกระบวนการทบทวนราคาทองคำรอบใหม่ อาจทำให้ตลาดการเงินโลกเผชิญกับความผันผวนครั้งใหญ่
อนึ่ง แม้ไม่นานมานี้เบสเซนต์ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ไม่มีแผนทบทวนมูลค่าทองคำสำรองรอบใหม่ แต่ด้วยความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ บางส่วนของตลาดจึงยังเห็นถึงความเป็นไปได้ ดังนั้น แนะนำนักลงทุนติดตามประเด็นดังกล่าวต่อไป
ภาพ: claffra / Getty Images