ตลาดหุ้นไทย (SET) ยังไร้ทิศทาง หลังเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจพลิกโผ จากที่คาดว่า โจ ไบเดน น่าจะเป็นฝ่ายชนะและขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ แต่หลังจากเริ่มนับคะแนนไปแล้วปรากฏว่า โดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะ
ขณะที่ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยผันผวนพลิกไปมาไม่ต่างกัน จากช่วงเช้าที่ดัชนี SET วิ่งไปแตะ 1,231 จุด เพิ่มขึ้น 9.7 จุด พลิกกลับมาติดลบ 6.8 จุด ที่ระดับ 1,214 จุด ก่อนที่จะกลับมาแกว่งตัวอยู่บริเวณ 1,220 จุด และปิดตลาดที่ระดับ 1,222.44 จุด เพิ่มขึ้น 1.11 จุด หรือ 0.09% มูลค่าการซื้อขายรวม 49,807.92 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่องอีก 1,859 ล้านบาท
สุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่าหลังจากที่กระแสพลิกกลับมาเป็นฝั่งทรัมป์ที่มีโอกาสจะได้เป็นประธานาธิบดีต่อเนื่อง หากมองไปที่หุ้นสหรัฐฯ อย่าง Dow Jones และ Nasdaq จะเห็นว่าราคาฟิวเจอร์สของทั้งสองดัชนีค่อนข้างต่างกันชัดเจน คือดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าจากการที่เป็นตัวแทนของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี
ขณะเดียวกันหากมองไปที่ราคาน้ำมันดิบก็ยังสามารถยืนบวกได้ต่อเนื่อง ล่าสุดน้ำมันดิบ WTI ยืนอยู่ที่ราว 38.2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จึงเชื่อว่าหุ้นที่น่าจะได้ประโยชน์สองกลุ่มหลักคือกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มน้ำมัน ซึ่งเป็นสองกลุ่มที่เคยได้ประโยชน์ในช่วงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์สมัยแรก
หากย้อนกลับมาดูตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่าหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เป็นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นได้โดดเด่น ทั้งอานิสงส์จากการคาดการณ์ว่าทรัมป์จะชนะการเลือกตั้ง รวมถึงผลประกอบการไตรมาส 3/63 ที่ทำได้ค่อนข้างดี ส่วนกลุ่มพลังงานก็เป็นหุ้นอีกหนึ่งกลุ่มที่น่าจะได้ผลบวกในระยะยาว แต่ในระยะสั้นจะยังถูกกดดันจากโควิด-19 และต้องติดตามผลของการพัฒนาวัคซีนควบคู่กันไปด้วย
นอกจากนี้กลุ่มหุ้นที่มีธุรกิจอยู่ในสหรัฐฯ อาทิ บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL), บมจ.บ้านปู (BANPU) และ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เป็นกลุ่มหุ้นที่น่าจะได้ประโยชน์จากการที่ทรัมป์อาจจะไม่ปรับขึ้นภาษีธุรกิจ รวมถึงอาจจะพยายามลดภาษีอย่างต่อเนื่อง
“โดยภาพรวมเชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยัง Outperform ตลาดหุ้นเอเชียต่อไป รวมถึงสงครามการค้าที่น่าจะดำเนินต่อไปเช่นกัน ขณะที่ทิศทางฟันด์โฟลว์ในส่วนของไทยก็คงจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก”
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่าหากพิจารณาจากผลการนับคะแนนล่าสุด สามารถบอกได้ว่าเริ่มมีโอกาสสูงที่ทรัมป์จะเป็นผู้ชนะและดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อเนื่องอีกสมัย หลังจากที่ผลการนับคะแนนในบรรดารัฐสวิงสเตทที่ดูเหมือนว่าจะไม่แกว่งอีกแล้ว โดยทรัมป์เป็นฝ่ายได้คะแนนเสียงเป็นส่วนใหญ่ และกรณีที่คาดการณ์กันว่าสภาสูงและสภาล่างจะครองเสียงข้างมากโดยพรรคเดโมแครตก็มีโอกาสน้อยลงไปมาก
หากบทสรุปออกมาเช่นนี้ เท่ากับว่าภาพการเมืองสหรัฐฯ จะยังคงเป็นภาพเดิม คือทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี พรรครีพับลิกันครองสภาสูง และพรรคเดโมแครตครองสภาล่าง ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังโดดเด่นต่อไปได้ และการขึ้นภาษีธุรกิจต่างๆ ไม่น่าจะเกิดขึ้น ในขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) จะต้องระวังเรื่องของสงครามการค้าต่อไป ส่วนแนวโน้มพันธบัตรก็น่าจะผ่านจุดสูงสุดในระยะสั้นไปแล้ว
“สำหรับตลาดหุ้นไทยคงต้องระมัดระวังมากขึ้น หากผลการเลือกตั้งออกมาเป็นรูปแบบเดิม โอกาสที่เงินลงทุน (Fund Flow) จะไหลเข้าตลาดหุ้น EM น่าจะเกิดขึ้นได้ยาก และนักลงทุนต่างชาติยังน่าจะรินขายตลาดหุ้นไทยต่อไป”
อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่าดัชนี SET ในเดือนพฤศจิกายนจะยังยืนอยู่เหนือระดับ 1,170 จุดต่อไปได้ ด้วยมูลค่าหุ้นไทยที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำแล้ว และดัชนีที่หลุดระดับ 1,200 จุดน่าจะเป็นจุดในการเข้าซื้อสะสม
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์