กระทรวงการคลังสหรัฐฯ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกแถลงการณ์ร่วม ตกลงไม่บิดเบือนค่าเงิน โดยธปท. ยังตกลงจะเปิดเผย ‘ข้อมูลการแทรกแซงค่าเงิน’ ต่อสาธารณะครั้งแรก ด้านนักเศรษฐศาสตร์มองเป็นเหรียญ 2 ด้าน คือ แม้จะเพิ่มความโปร่งใส แต่อาจทำให้ตลาด Game the System ได้ นอกจากนี้ ข้อตกลงดังกล่าวยัง ‘ปิดประตู’ การใช้ ‘กองทุนภาครัฐ’ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญ เป็นช่องทางแทรกแซงค่าเงิน พร้อมจับตา ไทยจะมีความเสี่ยงติด Monitoring List ประเทศบิดเบือนค่าเงิน ‘สูง’
สรุปสาระสำคัญของ ‘แถลงการณ์ร่วม’ คลังสหรัฐฯ-ธปท.ว่าด้วยการแทรกแซงค่าเงิน
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกัน โดยตกลงที่จะหารืออย่างใกล้ชิดต่อไปในประเด็นด้าน ‘เศรษฐกิจมหภาคและอัตราแลกเปลี่ยน’ รวมถึงทั้ง 2 ประเทศตกลงที่จะ ‘หลีกเลี่ยงการบิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยน’ เพื่อมิให้เป็นการขัดขวางการปรับตัวของดุลการชำระเงินอย่างมีประสิทธิผล หรือเพื่อสร้าง ‘ความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม’ โดย ‘แถลงการณ์ร่วม’ ครั้งนี้มีใจความสำคัญ ได้แก่
- ทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องไม่ใช้มาตรการเศรษฐกิจมหภาคเพื่อรักษาเสถียรภาพ (Macroprudential) หรือมาตรการเกี่ยวกับกระแสเงินทุน (Capital Flow Measures) เพื่อทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของตนแข่งขันได้มากขึ้น
- ทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องไม่ใช้กลไกการลงทุนภาครัฐอื่น ๆ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญ เพื่อทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของตนแข่งขันได้มากขึ้น
- ทั้ง 2 ฝ่าย จะแทรกแซงค่าเงินได้ เฉพาะกรณีที่เกิด ‘ความผันผวนที่มากเกินไปและการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ’ เท่านั้น
- ทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะทั้ง ข้อมูลการแทรกแซงค่าเงิน และข้อมูลเงินสำรองระหว่างประเทศ
วิเคราะห์นัยสำคัญของ ‘แถลงการณ์ร่วม’ ครั้งนี้
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH โดยระบุว่า ความหมายโดยนัย (Implication) ของแถลงการณ์ร่วมครั้งนี้คือ สหรัฐฯ รู้ว่าปัจจุบันมี 3-4 เครื่องมือที่จะแทรกแซงค่าเงินได้ เช่น มาตรการเศรษฐกิจมหภาคเพื่อรักษาเสถียรภาพ (Macroprudential) มาตรการเกี่ยวกับกระแสเงินทุน (Capital Flow Measures) และกลไกการลงทุนภาครัฐอื่น ๆ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญ “จึงก็เขียนกันไว้หมดเลย พร้อมบอกว่า ไทยให้แทรกแซงได้ เฉพาะเมื่อเกิดความผันผวนที่มากเกินไปและการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของอัตราแลกเปลี่ยนเท่านั้น”
ดร.พิพัฒน์ กล่าวต่อว่า อีกสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในข้อตกลงนี้คือ ธปท. ตกลงที่จะเปิดเผยข้อมูล 2 เรื่องต่อสาธารณะ ได้แก่ การดำเนินการแทรกแซงค่าเงิน (Exchange Rate Intervention Operation) และข้อมูลเงินสำรองระหว่างประเทศและสภาพคล่องเงินตราต่างประเทศ (Foreign Exchange Reserves)
“การเปิดเผยข้อมูลเงินสำรองฯ ไม่น่ากังวลเพราะเปิดเผยอยู่แล้ว แต่การเปิดเผยข้อมูลการแทรกแซง เป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น” ดร.พิพัฒน์ยังกล่าวต่อว่า “เปิดเผยข้อมูลเป็นสิ่งดี แต่ก็ไม่รู้ว่าธนาคารกลางชอบหรือไม่ชอบ”
สหรัฐฯ บีบไทย ‘เปิดเผยข้อมูล’ มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร?
ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว โดยระบุว่า การต้องเปิดเผยข้อมูลการเข้าแทรกแซงค่าเงินของธปท. จะมองเป็นเรื่องที่ดีก็ได้ เนื่องจากจะทำให้ไทยจะสามารถรายงานข้อมูลโปร่งใสมากขึ้น โดยเฉพาะการรายงานข้อมูล ‘การซื้อขายค่าเงิน’ ซึ่งธปท. ไม่เคยเปิดเผยข้อมูลนี้มาก่อน ขณะที่ตัวเลขเงินสำรองระหว่างประเทศนั้น ไทยเปิดเผยตามหลักสากลอยู่แล้ว
“การที่ธปท.เปิดเผยข้อมูลการแทรกแซงทุกๆ ครึ่งปี ให้ทั่วโลกได้รู้ ไม่ต้องมานั่งเดาว่า เป็นเท่าไหร่แน่ จะทำให้ทุกฝ่ายเห็นตัวเลข จึงทำให้โอกาสที่ไทยจะเข้าเกณฑ์ที่ 3 ยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ” ดร.ฐิติมากล่าว
นอกจากนี้ ดร.ฐิติมา ยังชี้ว่า การที่สหรัฐฯ ยกระดับความโปร่งใสในการรายงานการแทรกแซงค่าเงินนี้ไม่ได้ทำกับไทยชาติเดียว แต่ก็ทำกับชาติอื่นด้วย เช่น มาเลเซีย ที่มีการออกข้อตกลงวันเดียวกับประเทศไทย
อย่างไรก็ดี ในอีกด้าน ดร.พิพัฒน์ ก็มองว่า การเปิดเผยข้อมูลอาจจะทำให้ตลาด (Market Participant) เข้าใจพฤติกรรมของ ธปท. มากขึ้น และทำให้การ ‘Game The System’ ได้ง่ายขึ้น
“โดยทั่วไปแล้ว ธนาคารกลางส่วนใหญ่จะเก็บข้อมูลการแทรกแซงเอาไว้ เพราะถือเป็นเครื่องมือสำคัญ โดยหากเปิดเผยข้อมูลออกไป จะทำให้ตลาด (Market Participant) เข้าใจพฤติกรรมหรือรูปแบบ (Pattern) การแทรกแซงค่าเงินของธนาคารกลางได้มากขึ้น และทำให้การ ‘Game The System’ ทำได้ง่ายมากขึ้น กระนั้นข้อตกลงระบุไว้ว่า ธปท.ไม่จำเป็นต้องเปิดทุกวัน เปิดแค่ปีละ 2 ครั้ง และสามารถช้าได้ 1 ไตรมาส เพื่อให้ความไม่ชัดเจนนี้จะยังเป็นเครื่องมือของธปท.ได้อยู่” ดร.พิพัฒน์กล่าว
สหรัฐฯ จับตา ‘กองทุนรัฐ’ หวั่นถูกใช้เป็นเครื่องมือแทรกแซงค่าเงิน
ดร.ฐิติมา ยังตั้งข้อสังเกตว่า ข้อตกลงร่วมครั้งนี้มีจุดที่น่าสนใจคือ มีการกล่าวถึงเรื่องการห้ามใช้กลไกการลงทุนภาครัฐอื่น ๆ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญ เป็นเครื่องมือแทรกแซง ซึ่งนับเป็นประเด็นที่ไม่ค่อยปรากฏในข้อตกลงลักษณะนี้มาก่อน
ดร.ฐิติมา ยังวิเคราะห์ต่อว่า สหรัฐฯ อาจพยายามมองให้กว้างกว่าเครื่องมือการดูแลค่าเงินภายใต้ธนาคารกลาง โดยมองไปถึงเครื่องมือที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าเงินได้ ผ่านการลงทุนขนาดใหญ่ของกองทุนภาครัฐ ท่ามกลางภาวะกองทุนบำเหน็จบำนาญของไทยมีนโยบายที่จะเพิ่มการลงทุนในต่างประเทศเพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ดี “ข้อตกลงนี้ไม่ได้มีแค่กับไทยเท่านั้น แต่สหรัฐฯ ได้ทำข้อตกลงลักษณะนี้กับญี่ปุ่นและมาเลเซียด้วย ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าสหรัฐฯ กำลังเริ่มจับตาประเทศที่มีกองทุนขนาดใหญ่แล้ว” ดร.ฐิติมากล่าว
พร้อมอธิบายต่อว่า การลงทุนต่างประเทศ ามารถทำได้ทั้งแบบป้องกันความเสี่ยง (Hedge) และไม่ป้องกันความเสี่ยง (unhedged) โดยแบบที่จะมีผลต่อค่าเงินจริงๆ คือต้องไม่ป้องกันความเสี่ยง
แต่ถ้าพิจารณากันลึกๆ “กองทุนไทยมักป้องกันความเสี่ยง (Hedge) เยอะ ดังนั้นหากมาพิจารณากันอย่างลึกๆ อาจจะไม่ได้มีผลกับการเปลี่ยนแปลงทิศทางค่าเงินก็ได้” ดร.ฐิติมากล่าว
นโยบายการแทรกแซงค่าเงินของธปท. หลังจากข้อตกลงนี้จะเป็นอย่างไร?
ดร.ฐิติมา มองว่า หลังจากข้อตกลงนี้ออกมา แบงก์ชาติอาจจะระมัดระวังไม่ให้ไทยเข้าข่ายเกณฑ์บิดเบือนค่าเงินของสหรัฐฯ เพิ่มเติม จากที่ระมัดระวังเป็นปกติอยู่แล้ว นอกจากนี้ ธปท.อาจจะต้องเข้าดูแลการแข็งค่าของเงินบาท ‘วิธีอื่นๆ’ เพิ่มเติมด้วย เช่น การหาต้นตอการแข็งค่าแล้วเข้าไปแก้อย่างตรงจุด
“เรามองเห็นอยู่แล้วว่า ธปท.คงจะเข้าไปทำอะไรได้ไม่มาก ภายใต้เกณฑ์ที่สหรัฐฯ กำหนด ดังนั้น ธปท.จึงอาจจะต้องหาเป็นความร่วมมือดูแลบาทแข็งในทางอื่นๆ เช่น การหาต้นตอ แล้วไปแก้อย่างตรงจดด” ดร.ฐิติมากล่าว
สอดคล้องกับดร.พิพัฒน์ที่ระบุว่า “แถลงการณ์นี้อาจกดดันแบงก์ชาติว่า ถ้าเกิดมันมีปัญหาเรื่องค่าเงินบาทแข็ง การใช้เครื่องมือแทรกแซง โดยการซื้อดอลลาร์ก็จะทำได้ไม่เต็มที่นัก และก็จะต้องไปใช้เครื่องมืออื่นแทน เช่นนโยบายการเงิน”
ไทยเสี่ยงถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีเป็นประเทศ ‘บิดเบือนค่าเงิน’?
ดร.ฐิติมาและดร.พิพัฒน์ยังมองตรงกันว่า ไทยน่าจะเข้าข่ายเกณฑ์บิดเบือนค่าเงิน (Currency Manipulator) ที่สหรัฐฯ กำหนดไว้ 2 ใน 3 เกณฑ์แล้ว ได้แก่ เกณฑ์เกินดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account) ที่ 3% ต่อ GDP และเกณฑ์เกินดุลการค้า (Bilateral Trade Surplus) กับสหรัฐฯ ที่ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ดร.ฐิติมาและดร.พิพัฒน์มองตรงกันว่า ในเกณฑ์ที่ 3 ซึ่งคือ ‘การแทรกแซงค่าเงิน’ โดยการซื้อดอลลาร์สหรัฐสุทธิมากกว่า 8 เดือนติดกันในรอบ 12 เดือนล่าสุดนี้ “ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะดูแลไม่ให้เข้าข่าย”
ดร.พิพัฒน์อธิบายว่า “เกณฑ์เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เกิน 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไทยเข้าเกณฑ์นี้อย่างแน่นอน โดยเกินดุลไปเกือบ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว ขณะที่เกณฑ์การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด (material surface) เกิน 3% ของ GDP แม้ว่าในช่วงก่อนหน้าอาจจะยังไม่ถึงเกณฑ์ แต่เมื่อพิจารณาข้อมูล 4 ไตรมาสล่าสุด ไทยก็มีโอกาสเกินดุลบัญชีเดินสะพัดใกล้เคียง 3% ของ GDP ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่เสี่ยง”
ด้านดร.ฐิติมา ประเมินว่า “คิดว่า ไทยน่าจะถูกจัดอยู่ในรายชื่อประเทศที่ต้องจับตา (Monitoring List) ในรายงานครั้งต่อไป ซึ่งจะออกในรอบเดือนพฤศจิกายน แต่ความเสี่ยงที่เข้าเกณฑ์ครบ 3 เกณฑ์ แล้วกลายเป็น ‘ประเทศบิดเบือนค่าเงิน’ (Currency Manipulator) อาจจะ ‘ต่ำ’ โดยเฉพาะหลังจากมีข้อตกลงนี้ออกมายิ่งเป็นการแสดงความตั้งใจชัดเจนว่า ไทยจะดูแลไม่ให้เข้าเกณฑ์ที่ 3” ดร.ฐิติมา กล่าว
นอกจากนี้ ดร.ฐิติมา ยังชี้ว่า ไทยเคยติด Monitoring List ช่วงหลังโควิด ระหว่างปี 2020-2021 ไปแล้ว ซึ่งตอนนั้น ไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าเกณฑ์ FX Manipulator มากกว่าปีนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เข้า
กระนั้น ดร.พิพัฒน์ก็ยังมองว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่ธปท.อาจเข้าซื้อดอลลาร์เกินเกณฑ์ที่กำหนดอยู่ ท่ามกลางภาวะที่เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากเผชิญกับแรงกดดันด้านการเมือง
อย่างไรก็ตาม ดร.พิพัฒน์กล่าวว่า จากเกณฑ์ที่สหรัฐฯ กำหนดไว้ ธปท.ก็คงพยายามบริหารจัดการให้อยู่ภายใต้เกณฑ์ดังกล่าว หรือถ้าต้องดำเนินการก็ต้องหาวิธีสื่อสาร ไม่ให้สหรัฐฯ มองว่า ไทยเป็นประเทศบิดเบือนค่าเงิน
นอกจากนี้ ธปท.อาจจะต้องไปหาเครื่องมืออื่นๆ ที่จะมาดูแลค่าเงิน เนื่องจากความเป็นจริงการเข้าแทรกแซงค่าเงินไม่ช่วยเรื่องการกำหนดค่าเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยได้เพียงชะลอเล็กน้อย หรือช่วยลดความผันผวนเท่านั้น แต่ไม่สามารถช่วยอย่างยั่งยืนได้ โดยในทางทฤษฎี การเปลี่ยนทิศทางค่าเงินขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐาน เช่น อัตราดอกเบี้ย และปัจจัยพื้นฐานของประเทศมากกว่า
“ธปท. มักจะไม่นำประเด็นค่าเงินมาเป็นเงื่อนไขในการดำเนินนโยบายการเงินเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อมีข้อจำกัดในการแทรกแซง (intervention) เพิ่มขึ้น ก็มีโอกาสหรือความเป็นไปได้ที่ ธปท. จะต้องคิดหนักขึ้นและต้องมีมาตรการด้านนโยบายการเงิน เพื่อรับมือกับประเด็นค่าเงินบาทแข็งมากขึ้นในอนาคต” ดร.พิพัฒน์กล่าว
ติด Monitoring List ลามการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ?
ดร.ฐิติมากล่าวว่า การที่ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นประเด็นที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญและ ลุกขึ้นมาตอบโต้ทางการค้าอยู่แล้ว พร้อมทั้งมองว่า การติด Monitoring List อาจจะไม่ได้มีผลเกี่ยวข้องโดยตรงต่อการเจรจาทางการค้าภาษี เนื่องจากไทยได้ไปลงนามใน แถลงการณ์ร่วม ‘กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าต่างตอบแทนระหว่างสหรัฐฯ และประเทศไทย’ (Joint Statement on Framework for United States–Thailand Agreement on Reciprocal Trade) ไปแล้ว หมายความว่า ไทยและสหรัฐฯ ได้ตกลง (Deal) ในเรื่องหลักๆ กันไปหมดแล้ว
ขณะที่ ดร.พิพัฒน์เชื่อว่า การดูแลค่าเงิน เป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาทางการค้า (Trade Negotiation) จุดประสงค์คือสหรัฐฯ ไม่ต้องการให้ไทยทำให้ค่าเงินอ่อนลงเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน เพื่อลดทอน (Undo) ผลของภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff)
ผลที่ตามมาหากไทยถูกจัดเป็น Manipulator
ดร.พิพัฒน์อธิบายต่อว่า หากไทยถูกจัดเป็นประเทศบิดเบือนค่าเงิน อันดับแรก สหรัฐฯ จะเข้ามาพูดคุยกับไทยมากขึ้น (Enhanced Bilateral Engagement) ระหว่างสองประเทศ ในระยะเวลา 1 ปี หลังจากครบ 1 ปีแล้ว กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ก็จะกลับไปรายงานต่อรัฐสภา (Congress) ว่าประเทศนั้นๆ ได้แก้ไขสถานการณ์แล้วหรือยัง โดยหากยังมีการบิดเบือนยังคงอยู่ สหรัฐฯ อาจออกมาตรการเพิ่มเติม เช่น การปรึกษาหารือที่เข้มข้นขึ้น (enhance consultation) หรือมาตรการจำกัดทางการค้าบางส่วน (trade restriction) รวมถึง ข้อจำกัดเรื่องสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง (Procurement Contract) ของรัฐบาล
“ผลกระทบโดยตรงอาจไม่ได้รุนแรงมากนัก แต่อาจจะสร้างความเสี่ยงด้านชื่อเสียง (Reputation Risk) และทำให้ถูกเพ่งเล็งหรือถูกบังคับให้ทำตามข้อกำหนดต่างๆ” ดร.พิพัฒน์กล่าว
ส่องแนวโน้มค่าเงินบาทในระยะถัดไป
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท ดร.ฐิติมา มองว่า ช่วงนี้ ค่าเงินบาทถูกขับเคลื่อนด้วย 2 ปัจจัยหลัก คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและราคาทองคำ โดย SCB EIC มองว่า เงินบาทน่าจะอยู่ที่ราว 32.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2568 เนื่องจากคาดการณ์ว่า Fed จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง (ในการประชุมเดือนตุลาคม และธันวาคม) และ กนง. จะลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง (ในการประชุมเดือนธันวาคม)
ขณะที่ในปีหน้า 2569 คาดว่าบาทจะ ‘แข็งค่าขึ้น’ ไปต่อ ถึงเกือบ 32.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากมองว่า Fed อาจจะปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ขณะที่ ธปท. อาจจะลดดอกเบี้ยเพียงช่วงต้นปีและคงไว้ที่ระดับ 1.00%
เปิดแถลงการณ์ ‘ฉบับเต็ม’ จากฝั่ง ‘กระทรวงการคลังสหรัฐฯ’
ในฐานะพันธมิตรที่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน กระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกาและธนาคารแห่งประเทศไทยตกลงที่จะหารืออย่างใกล้ชิดต่อไปในประเด็นด้านเศรษฐกิจมหภาคและอัตราแลกเปลี่ยน กระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกาและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ยืนยันอีกครั้งถึงพันธกรณีภายใต้ข้อตกลงของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่จะหลีกเลี่ยงการบิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยนหรือระบบการเงินระหว่างประเทศ เพื่อมิให้เป็นการขัดขวางการปรับตัวของดุลการชำระเงินอย่างมีประสิทธิผล หรือเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงว่า:
- มาตรการเศรษฐกิจมหภาคเพื่อรักษาเสถียรภาพ (Macroprudential) หรือมาตรการเกี่ยวกับกระแสเงินทุนใด ๆ จะไม่มุ่งเป้าไปที่อัตราแลกเปลี่ยนเพื่อวัตถุประสงค์ในการแข่งขัน
- กระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกาและธนาคารแห่งประเทศไทยจะไม่ใช้กลไกการลงทุนภาครัฐอื่น ๆ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญ เพื่อมุ่งเป้าไปที่อัตราแลกเปลี่ยนเพื่อวัตถุประสงค์ในการแข่งขัน และ
- ในกรณีที่อาจมีการพิจารณาแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตรา การดำเนินการดังกล่าวควรสงวนไว้สำหรับการจัดการกับความผันผวนที่มากเกินไปและการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของอัตราแลกเปลี่ยน โดยคาดว่าเครื่องมือนี้จะได้รับการพิจารณาว่าเหมาะสมเท่าเทียมกันในการจัดการกับการเสื่อมค่าหรือการแข็งค่าของค่าเงินที่ผันผวนมากเกินไปหรือผิดปกติ
กระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกาและธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นพ้องถึงความสำคัญของความโปร่งใสของนโยบายและการดำเนินงานด้านอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งสองฝ่ายมุ่งมั่นที่จะเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะในเรื่องดังต่อไปนี้:
- การดำเนินการแทรกแซงค่าเงินใด ๆ อย่างน้อยทุกครึ่งปี โดยมีระยะเวลาล่าช้า 1 ไตรมาส และ
- ข้อมูลเงินสำรองระหว่างประเทศและฐานะเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า ตามแบบฟอร์มข้อมูลเงินสำรองระหว่างประเทศและสภาพคล่องเงินตราต่างประเทศ (Data Template on International Reserves and Foreign Currency Liquidity) ของ IMF เป็นรายเดือน

เปิดแถลงการณ์ ‘ฉบับเต็ม’ จากฝั่ง ‘ธนาคารแห่งประเทศไทย’
ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังสหรัฐฯ และธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกถ้อยแถลงเกี่ยวกับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนและการเปิดเผยข้อมูล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่รัฐบาลไทยได้ออกถ้อยแถลงไปก่อนหน้านี้ โดยสรุปสาระสำคัญดังนี้
- ทั้งสองฝ่ายจะไม่ใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อมุ่งสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน แต่ควรเป็นไปเพื่อดูแลความผันผวนที่มากเกินไปหรือกรณีเกิดการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนที่ผิดปกติ
- ทั้งสองฝ่ายจะเพิ่มความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลการดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนโดยเพิ่มการรายงานข้อมูลให้มีความถี่มากขึ้น
- ทั้งสองฝ่ายจะเปิดเผยข้อมูลเงินสำรองระหว่างประเทศตามรูปแบบของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) เป็นรายเดือน ซึ่งเป็นสิ่งที่ ธปท. ดำเนินการอยู่ก่อนหน้าแล้ว

ธปท. ย้ำยังสามารดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนได้ ‘เช่นเดิม’
นอกจากนี้ ชญาวดียังกล่าวต่อว่า ทางการสหรัฐฯ ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศคู่ค้ามาระยะหนึ่งแล้ว และได้มีการประเมินผ่านเงื่อนไขต่างๆ เช่น ดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการค้ากับสหรัฐฯ มาอย่างต่อเนื่อง
โดยไทยเคยถูกจัดอยู่ใน monitoring list ในช่วงปี 2020-21 ดังนั้น จึงได้ใช้โอกาสที่มีการเจรจาการค้า ในการให้ทั้งสองประเทศเน้นย้ำความมุ่งมั่นที่จะไม่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ผ่านการออก Statement สู่สาธารณะ เช่นเดียวกับที่ ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ และเกาหลีใต้ ได้ออกมาก่อนหน้านี้ จากเดิมที่เป็นการหารือทวิภาคีเป็นการภายในระหว่างกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กับธนาคารกลางหรือกระทรวงการคลังของประเทศคู่ค้า
พร้อมย้ำว่า ธปท. ยังสามารถดำเนินนโยบายเพื่อวัตถุประสงค์ในการดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนได้เช่นเดิม
ภาพ: Collagery /Shutterstock , schankz /Shutterstock , mikeledray /Shutterstock
อ้างอิง:


