รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สหรัฐฯ เผยให้เห็นข่าวดีท่ามกลางภาวะ Government Shutdown โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนกันยายนขยายตัวเพียง 3.0% รายปี และ Core CPI (ไม่รวมอาหารและพลังงาน) ก็อยู่ที่ 3.0% เช่นกัน ซึ่งทั้งสองตัวเลข ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ ข้อมูลเงินเฟ้อนับเป็นการเปิดเผยตัวเลขทางเศรษฐกิจทั่วโลกเฝ้ารอ ท่ามกลางนโยบายระงับการเปิดเผยข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯ และยังเป็นข้อมูลที่เปิดทางให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) สามารถตัดสินใจ ลดอัตราดอกเบี้ยได้อย่างสบายใจในการประชุมสัปดาห์หน้า (28-29 ตุลาคม)
ตามรายงานของสำนักงานสถิติแรงงาน (BLS) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ระบุว่า ราคาที่ผู้บริโภคต้องจ่ายสำหรับสินค้าและบริการหลากหลายประเภทในเดือนกันยายน เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน ทำให้อัตราเงินเฟ้อต่อปีอยู่ที่ 3.0% ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจโดย Dow Jones คาดการณ์ไว้ที่ 0.4% และ 3.1% ตามลำดับ ส่วนอัตราเงินเฟ้อรายปีสะท้อนถึงการเพิ่มขึ้น 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์จากเดือนสิงหาคม
เมื่อไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน Core CPI เพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบรายเดือน และอัตราต่อปีอยู่ที่ 3.0% เทียบกับการคาดการณ์ที่ 0.3% และ 3.1% ตามลำดับ ก่อนหน้านี้ Core CPI รายเดือนเคยเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม
รายงาน CPI ฉบับนี้ถือเป็นข้อมูลเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการเพียงชุดเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ออกมาในช่วงภาวะรัฐบาลปิดทำการ (Government Shutdown)
John Kerschner หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ที่มีหลักประกันทั่วโลกของ Janus Henderson กล่าวว่า เหมือนโอเอซิสกลางทะเลทราย ตัวเลข CPI เป็นข้อมูลชิ้นแรกที่เปิดเผยให้กับนักลงทุนจากรัฐบาล นับตั้งแต่การปิดทำการเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา
“นักลงทุนไม่ผิดหวัง เงินเฟ้อออกมาอ่อนตัวกว่าที่คาดไว้ นำไปสู่การฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของตลาดพันธบัตร และทำให้มั่นใจได้ว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ย ในการประชุม Open Market Committee สัปดาห์หน้า” Kerschner กล่าว
การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันเบนซิน 4.1% เป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันรายงานในครั้งนี้ ในขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้ออื่นๆ ยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างเงียบ หมวดอาหารเพิ่มขึ้น 0.2% ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวมเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบรายปี พลังงานเพิ่มขึ้น 2.8% และอาหารเพิ่มขึ้น 3.1%
ภายในดัชนีอาหาร ราคาเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก ปลา และไข่พุ่งขึ้นถึง 5.2% ในปีที่ผ่านมา ขณะที่เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น 5.3% ในหมวดพลังงาน แม้ว่าราคาไฟฟ้าจะสูงขึ้น 5.1% และก๊าซธรรมชาติพุ่งขึ้น 11.7% ในปีที่ผ่านมา แต่ราคาน้ำมันเบนซินกลับลดลง 0.5% ในช่วงเวลาดังกล่าว
ค่าที่พักอาศัย (Shelter costs) ซึ่งคิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของน้ำหนักใน CPI เพิ่มขึ้นเพียง 0.2% และเพิ่มขึ้น 3.6% จากปีก่อนหน้า ค่าบริการที่ไม่รวมค่าที่พักอาศัยเพิ่มขึ้น 0.2% เช่นกัน
ยานพาหนะใหม่เพิ่มขึ้น 0.8% แต่ราคารถยนต์และรถบรรทุกมือสองกลับลดลง 0.4%
ดัชนีฟิวเจอร์สของตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นหลังจากรายงานเปิดเผย ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลงเล็กน้อย
“เงินเฟ้ออาจไม่ได้ชะลอตัวลง แต่ก็ไม่ได้สร้างความประหลาดใจในด้านขาขึ้นอีกต่อไปแล้ว” David Russell หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตลาดโลกของ TradeStation กล่าว
รายงานนี้ให้ภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงเวลาที่การเผยแพร่ข้อมูลอื่น ๆ ทั้งหมดถูกระงับ แม้จะมีผลกระทบที่จำกัดจากมาตรการภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แต่นักวิเคราะห์ระบุว่าผลกระทบเต็มรูปแบบอาจยังไม่ปรากฏออกมา
ราคาสินค้าหลักเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ต่อเดือน James Knightley หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศของ ING ชี้ว่าข้อมูลในรายงาน CPI ประกอบกับรายได้ศุลกากรที่เกิดจากภาษี บ่งชี้ว่าอัตราภาษีศุลกากรที่รับรู้ (realized tariff rate) อยู่ที่เพียง 10%
Knightley เขียนว่ามีสัญญาณของ “ผลกระทบจากการทดแทนที่รุนแรง” เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งหมายถึงบริษัทในสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนไปจัดหาสินค้าจากประเทศที่มีภาษีต่ำกว่า และองค์ประกอบของการนำเข้ากำลังเปลี่ยนแปลงไป
“ผลที่ได้คือบริษัทต่างๆ สามารถดูดซับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นซึ่งไม่รุนแรงเท่าที่กลัวได้ดีขึ้น และมีผลกระทบต่อเงินเฟ้อน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้จนถึงขณะนี้” เขากล่าว “ในที่สุด เราคาดว่าอัตราภาษีที่รับรู้จะเพิ่มขึ้นและราคาสินค้าจะได้รับผลกระทบมากขึ้น แต่เรายังคงยืนยันว่าภาษีจะเป็นการเปลี่ยนแปลงราคาระดับเดียว (one-off step change) ไม่ใช่สิ่งที่จะนำไปสู่เงินเฟ้อที่คงอยู่ยาวนาน”
รายงานสุดท้ายก่อนการประชุม Fed
BLS เปิดเผยข้อมูลนี้โดยเฉพาะ เนื่องจากสำนักงานประกันสังคมใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานในการปรับค่าครองชีพ (COLAs) ในเช็คเงินสวัสดิการ ขณะที่การรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลของรัฐบาลกลางถูกระงับทั้งหมดจนกว่าความขัดแย้งทางการคลังในวอชิงตันจะได้รับการแก้ไข ทั้งนี้ รายงาน CPI เดิมมีกำหนดเผยแพร่ในวันที่ 15 ตุลาคม
นอกจากการเป็นแนวทางสำหรับ COLA แล้ว การเปิดเผย CPI ยังเป็นข้อมูลสำคัญสุดท้ายที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะได้รับก่อนการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า Fed มีเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ซึ่งตัวเลขหัวข้อข่าว (Headline CPI) อยู่ต่ำกว่าระดับนั้นครั้งล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2564
“รายงานนี้จะทำให้ Fed ยังคงเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ย อย่างแน่นอน” Art Hogan หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดของ B. Riley Wealth กล่าว พร้อมกับเสริมว่า “Fed ชัดเจนว่าพวกเขามุ่งเน้นไปที่ข้อมูลตลาดแรงงานที่อ่อนตัวลงมากกว่า และจะยังคงปกป้องพันธกิจด้านการจ้างงานเต็มที่ แม้ว่า Core CPI จะอยู่เหนือเป้าหมาย 2% ของพวกเขาก็ตาม”
ตลาดกำลังเชื่อมั่นว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมข้ามคืนลง 0.25% จากช่วงเป้าหมายปัจจุบันที่ 4% – 4.25% และนักลงทุนยังคาดการณ์อีกว่าการปรับลดอีกครั้งในเดือนธันวาคม
อย่างไรก็ตาม เส้นทางหลังจากนั้นยังคงไม่ชัดเจน ความกังวลยังคงอยู่ว่าภาษีของ ทรัมป์อาจก่อให้เกิดเงินเฟ้อรอบใหม่ที่รุนแรง ในขณะเดียวกัน ผู้กำหนดนโยบายของ Fed ก็กังวลว่าการชะลอตัวของการจ้างงานในปีนี้อาจจะลุกลาม แม้ว่าการเลิกจ้างยังคงอยู่ในระดับต่ำ
ราคาสินค้าที่อ่อนไหวต่อภาษีอย่างเครื่องนุ่งห่ม เพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนกันยายน ขณะที่สินค้าคงทนเพิ่มขึ้น 0.3%
Jerome Powell ประธาน Fed และเพื่อนร่วมงานได้แสดงท่าทีระมัดระวังโดยทั่วไปเกี่ยวกับอัตราการลดดอกเบี้ย เนื่องจากพวกเขาชั่งน้ำหนักภัยคุกคามของเงินเฟ้อกับความอ่อนแอในตลาดแรงงาน ขณะที่ทรัมป์นั้น ยืนกรานว่าเงินเฟ้อไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป และ Fed ควรลดดอกเบี้ยอย่างเต็มที่ได้แล้ว
ภาพ: Liao Pan/China News Service/VCG via Getty Images
อ้างอิง:


