แม้สงครามภาษี (Tariff War) ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน จะสงบลงชั่วคราว หลังเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สามารถบรรลุข้อตกลงที่จะลดภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน แต่ยังมีความเสี่ยงที่อาจยังวางใจไม่ได้
โดย ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ โพสต์ข้อความให้ความเห็นผ่าน Facebook ระบุว่า ติดตามการเริ่มยกสองระหว่างสหรัฐฯ กับจีน (US vs. China) หลังจาก Total Reset ข้อตกลงจากกรุงเจนีวามีควันหลงก็ตามมา
โดยทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างพยายาม Claim ว่าการปรับลดภาษีลงมาทั้งสองฝ่ายลง 115% เป็นชัยชนะของตนเอง โดยสหรัฐฯ บอกว่าเป็นความสำเร็จสามารถสร้าง Geneva Mechanism สำหรับการพูดคุยของสองฝ่าย
ส่วนจีนไปไกลถึงบอกว่าเป็นความสำเร็จในการต่อสู้ ยืนหยัด ไม่โอนอ่อน สามารถรักษาศักดิ์ศรีของจีนไว้ได้ สุดท้ายสหรัฐฯ ก็ต้องยอม ‘Chicken Out’ ยอมถอยไปเอง ไม่ได้อะไรจากจีน
ทั้งนี้ ต่างฝ่ายต่างคิดอัตราภาษีฝ่ายละ 10% เท่ากัน ภายใต้ Reciprocal Tariffs
ต่างจากอีกหลายๆ ประเทศที่ต้องมายอมเอาใจสหรัฐฯ หลังจากนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของยก 2 แต่ยกนี้คงไม่ง่าย เพราะสหรัฐฯ ต้องการ
- ปรับ Imbalances หรือความไม่สมดุลด้านการค้าที่ยิ่งใหญ่ ดังแสดงในภาพ
ซึ่งจีนเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สู่ระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ พร้อมๆ กับการที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นทะลุ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ เช่นกัน
ความไม่สมดุลนี้ สะสมมาหลายปี เป็น Gap ใหญ่มาก จะเปลี่ยนได้ จีนต้องเปลี่ยนใหญ่หลายเรื่อง
- ย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐ ในบางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสำคัญๆ
- เปิดตลาดจีนในอุตสาหกรรมต่างๆ ให้บริษัทสหรัฐ รวมถึง Google, Facebook, X และ YouTube
- ขอให้จีนบริโภคให้มากขึ้น ออมน้อยลง ซึ่งแต่ละอย่างต้องขอบอกว่า ‘ไม่ง่าย’ และจีนอาจจะไม่ยอม โดยต้องมาติดตามกันว่าทั้งสองฝ่ายจะตกลงกันได้ไหมในช่วง 90 วันข้างหน้าจะกลับมาทะเลาะกันอีกครั้งหรือไม่ แต่รอบนี้คงไม่ลุกลามเหมือนรอบที่แล้ว
เพราะคงได้บทเรียนกันทั้งสองฝ่ายแล้วว่าผลกระทบที่ตามมาต่อธุรกิจ โรงงาน แรงงาน สามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงกับทั้งสองฝ่ายและ Geneva Mechanism ที่ รมต.สหรัฐฯ Scott Bessent บอกก็จะช่วยเป็นกันชน ไม่ทะเลาะกันผ่านสื่อ ไม่รอว่าใครจะโทรหาก่อนช่วยลดความร้อนแรงไปบางส่วน
