เวลาเพียงเดือนกว่าๆ ที่มหาอำนาจโลก ‘สหรัฐฯ’ ได้ประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เป็นรอบที่ 2 ก็ได้ออกนโยบายต่างๆ ในเวลาอันแสนสั้น แต่ล้วนส่งผลกระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ รวมไปถึงตลาดลงทุนที่เผชิญกับอยู่ในภาวะผันผวนขาลงในประเทศต่างๆ ไม่เว้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้วยครับ ขณะที่ ‘ตลาดหุ้นจีน’ กำลังกลับตัวเป็นขาขึ้นครับ
ขณะที่ ‘ทรัมป์’ กลับปฏิเสธว่า ประเด็นเรื่องภาษีเป็นต้นเหตุของตลาดหุ้นร่วง และยังปฏิเสธถึงการชะลอตัวของตลาดที่เป็นผลมาจากนโยบายของเขา ทั้งยืนยันว่า “ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตลาดหุ้น” และ “ผมไม่ได้สนใจตลาดหุ้นด้วยซ้ำ”
ท่ามกลางเสียงสะท้อนก้องทั่วโลกว่านโยบายต่างๆ ที่ทรัมป์ออกมารวมถึงการปลดข้าราชการสหรัฐฯ จำนวนมากอาจเป็นดาบสองคม แม้แต่ ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ก็เตือนว่านโยบายของทรัมป์และท่าทีแข็งกร้าวต่อประเทศคู่ค้า เป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ที่สุดต่อสถานะของดอลลาร์สหรัฐฯ ในรอบ 50 ปี และยังระบุด้วยว่า ยุโรปและจีนกำลังดึงดูดเงินทุนจากนักลงทุนที่หนีออกจากดอลลาร์ ขณะที่มาตรการลดขนาดรัฐบาล รวมถึงการตัดงบกรมสรรพากร อาจกระทบความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ
ในเมื่อทรัมป์คงเดินหน้านโยบายภาษีและยืนกรานว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจอเมริกาแข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว แต่นักลงทุนยังคงกังวลว่าภาษีศุลกากรอาจส่งผลเสียต่อภาคธุรกิจและการค้าโลก ซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นยังคงมีความไม่แน่นอนต่อไป
ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงร่วงหนักทั้งดัชนี Dow Jones และดัชนี Nasdaq หลังมีข่าวมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มแรงกดดันในการเจรจาสันติภาพ
ตลาดวิเคราะห์กันว่า เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ดัชนี Nasdaq ปิดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี บ่งชี้ว่าสถิติตลาดขาขึ้นที่ยาวนานที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์หุ้นสหรัฐฯ ได้จบลงแล้ว เราคงต้องระมัดระวังการลงทุนกันมากขึ้น
JP Morgan ยังเตือนเรื่องหุ้นสหรัฐฯ ในระยะสั้น ดัชนี S&P 500 จะผันผวนหนักเพราะทรัมป์ แต่ ณ ปัจจุบันยังคงคาดการณ์ว่าสิ้นปีนี้ดัชนี S&P 500 จะอยู่ที่ 6,500 จุด หรือ +15% จากราคาปัจจุบัน
“แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะอยู่ไม่ไกลระดับ All Time High แต่ความเชื่อมั่นของนักลงทุน กลับร่วงลดลงต่ำกว่าช่วงวิกฤติฟองสบู่ Dot Com ในปี 2000 และวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 เสียอีก”
โลกกำลังส่องสปอตไลต์ไปที่สถานการณ์สหรัฐฯ ว่าจะแพ้ภัยกับสงครามภาษีที่ก่อขึ้นเองหรือไม่? เมื่อมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่อเม็กซิโก แคนาดา และจีน มีผลบังคับใช้แล้ว และจุดเริ่มต้นของสงครามเศรษฐกิจที่ลากยาวและส่งผลกระทบทั่วโลก
หนึ่งในประเด็นที่ต้องจับตาคือเพดานสูงสุดของภาษีที่ทรัมป์ตั้งเป้าไว้สำหรับจีน ซึ่งอาจเป็นตัวชี้วัดว่าความขัดแย้งทางการค้าจะรุนแรงเพียงใด
เพราะจีนขึ้นชื่อว่าเป็นมหาอำนาจเบอร์ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ และกำลังพยายามต่อสู้เพื่อช่วงชิงความเป็นที่ 1 ของโลก ทำให้นักลงทุนทั่วโลกหันมาสนใจตลาดหุ้นจีนอีกครั้งในปีนี้ คำถามเวลานี้คือ ‘หุ้นจีนแพงไปหรือยัง?’
เรามาดูกระแสเคลื่อนไหวสำคัญๆ ของฝั่งจีนที่ทั่วโลกเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดในตอนนี้ นั่นคือ ผลการประชุมสองสภาที่เพิ่งปิดม่านลงไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประชุมทางการเมืองระดับชาติประจำปีที่สำคัญ เพื่อกำหนดทิศทางนโยบายของประเทศ ปีนี้เป็นปีที่จีนต้องเผชิญหน้ากับ ‘ทรัมป์ 2’ ท่ามกลางฉากหลักของสภาพแวดล้อมอันสลับซับซ้อนและท้าทายหนักกว่าปีก่อนๆ แน่นอน
ผลการประชุมใน 2 สภามีกล่าวถึงประเด็นสำคัญๆ
เรื่องแรกคือ จีนได้ส่งสัญญาณการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2025 ยังคงตั้งเป้าหมาย GDP เติบโต 5% ท่ามกลางสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้นกับสหรัฐฯ และ จีนได้ประเมินว่า โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในรอบ 100 ปี ด้วยอัตราเร่งที่เร็วขึ้น สภาพแวดล้อมภายนอกที่ซับซ้อน และรุนแรงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อจีนมากขึ้นในด้านต่างๆ เช่น การค้า วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
ดังนั้นจีนตั้งการ์ดสูงรองรับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายนี้ โดยจะเน้นขับเคลื่อน GDP ให้เติบโตจากภายในประเทศเป็นสำคัญ และจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายด้านเพิ่มเติมและการบริโภคในประเทศให้มากขึ้น เพราะฉะนั้น จีนจะเพิ่มขาดดุลงบประมาณเป็น 4% ซึ่งสูงสุดรอบกว่า 30 ปี หรือคิดเป็นเม็ดเงินราว 5.66 ล้านล้านหยวน (ราว 26 ล้านล้านบาท) ถือเป็นการปลดล็อกครั้งใหญ่ในการก่อหนี้เพิ่มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทั้งนี้ เดิมจีนขาดดุล 3% ของ GDP มานานกว่าสิบปี
การคงเป้าหมายการเติบโตของ GDP ที่ประมาณ 5% ไม่ใช่เพียงตัวชี้วัดเศรษฐกิจ แต่ยังถือเป็นตัวบ่งชี้สำคัญ ขณะที่เศรษฐกิจของจีนกำลังเปลี่ยนผ่านสู่การพัฒนาที่มีคุณภาพสูง
เรื่องที่ 2 คือ ดำเนินนโยบายการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยจีนจะออกนโยบายแบบเจาะจงเป้าหมายมากขึ้น เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและบรรลุเป้าหมายการเติบโต จีนจะดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายในระดับปานกลาง ซึ่งถือเป็นการปรับเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ จากนโยบายการเงินแบบระมัดระวังในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา
เรื่องที่ 3 คือ เปิดท่าทีนโยบายการต่างประเทศของจีน ในที่ประชุมได้มีการกล่าวถึงประเด็นร้อนระดับภูมิภาคและนานาชาติ เช่น วิกฤตยูเครนและความขัดแย้งปาเลสไตน์-อิสราเอล รวมถึงนโยบายต่างประเทศของจีนที่มีต่อรัสเซีย สหรัฐฯ ยุโรป และกลุ่มประเทศโลกใต้
เรื่องที่ 4 คือ ‘AI’ เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์ของจีนในโลกยุคใหม่
นวัตกรรมทางเทคโนโลยี เป็นอีกประเด็นสำคัญในการประชุมสองสภาของปีนี้ โดยอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีแนวโน้มได้รับความสนใจเป็นพิเศษ จากปรากฏการณ์ ‘DeepSeek’ สตาร์ทอัพของจีน ได้เปิดตัวแชตบอตแบบ Open Source ยอดนิยม สร้างความฮือฮาให้กับอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์และตลาดทุนทั่วโลก และยังเกื้อหนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เป็นวงกว้างทั่วโลก และมีส่วนส่งเสริมภูมิปัญญาของจีนสู่ทั่วโลกยิ่งขึ้น
ขณะที่บริษัทจีนหลายแห่ง อย่าง Tencent, Baidu, BYD ก็ได้เริ่มนำ DeepSeek มาใช้กับผลิตภัณฑ์ของบริษัทแล้ว และหน่วยงานท้องถิ่นบางส่วน ได้ประกาศความร่วมมือกับโมเดล AI ของ DeepSeek เพื่อยกระดับบริการสาธารณะ หรือจัดการฝึกอบรมเพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่และมืออาชีพทางธุรกิจเข้าใจการพัฒนาและการใช้งาน DeepSeek และเทคโนโลยี AI อื่นๆ ได้ดียิ่งขึ้น ปรากฏการณ์ DeepSeek สะท้อน ‘เทคโนโลยีจีน’ ครอบคลุมทั่วถึงครับ
ปัญญาประดิษฐ์ถือเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี และการเปลี่ยนผ่านทางอุตสาหกรรมรอบใหม่ แม้ว่าการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ จะมาพร้อมกับความเสี่ยงและความท้าทายใหม่ๆ ซึ่งรัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับการพัฒนาและการป้องกันความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง รวมถึงปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลตามกฎหมาย
ส่วนตัวผม ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน กำลังเปลี่ยนผ่านสู่การพัฒนาอย่างมีคุณภาพในระยะข้างหน้าครับ
หากใครที่ติดตามผมมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ผมได้แนะนำให้ทยอยลงทุนหุ้นจีนมาตลอด คุณน่าจะเห็นผลตอบแทนบ้างแล้ว เพราะปีที่แล้วก็เป็นปีแรกที่ตลาดหุ้นจีนและฮ่องกงพลิกเป็นบวก หลังจากที่เจอวิกฤติ ฉุดตลาดหุ้นตกติดต่อกัน 3 ปี
ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงติดต่อกันหลายปี ซึ่งถือเป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้ค่อนข้างยาก ที่ตลาดหุ้นจะตกติดๆ กันแบบนี้ จนกระทั่งปีที่แล้วที่ยังตกหนักอยู่ตลอดช่วงครึ่งปีแรก แต่เมื่อรัฐบาลอัดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ช่วงไตรมาส 3 หุ้นจีนก็พุ่งขึ้นมาเยอะมากๆ หลังจากนั้น แม้ตลาดหุ้นจะปรับตัวลงมา แต่ก็ไม่ต่ำลงไปกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้าแล้ว สะท้อนความเชื่อมั่น ว่าทุกคนพร้อมที่จะเข้าไปซื้อหุ้นในราคานี้แล้ว
และยิ่งในปีนี้ แนวโน้มต่างๆ พากันส่งสัญญาณค่อนข้างชัดเจน ว่า หุ้นจีนกำลังกลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้นแล้ว
ผมขออธิบายง่ายๆ ถึงสัญญาณการกลับตัวของตลาดหุ้น คือ ในช่วงที่ตลาดยังขึ้นๆ ลงๆ แล้วตอนที่ลง ‘จุดต่ำสุดใหม่’ ไม่เกิดขึ้นแล้ว นั่นเป็นจุดที่เราเรียกได้ว่า ‘สัญญาณกลับตัว’ หรือ ‘ขาขึ้น’ และตอนนี้ตลาดหุ้นจีนส่งสัญญาณนั้นมาแล้ว ประกอบกับปัจจัยหนุนจากผลการประชุมสองสภาได้กำหนดทิศทางนโยบายของประเทศ ด้วยยุทธศาสตร์ก้าวใหม่ พลิกเศรษฐกิจด้วย AI ของจีน พร้อมประกาศแผนระยะสั้น เดินหน้าอัดแน่นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการเงินและการคลังที่ไฟเขียวก่อหนี้เพิ่ม หนุนการบริโภคแบบเต็มสูบ ถือเป็นข่าวบวกเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนให้กลับเข้าตลาดหุ้นจีนกันคึกคักในต้นปี 2568 นี้
ความคาดหวังของนักลงทุนสัมพันธ์กับราคาหุ้นแล้ว เพราะเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมเติบโต ราคาหุ้นก็จะค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งตอนนี้หุ้นจีนมีแนวโน้มเป็นแบบนั้นครับ
อีกความน่าสนใจของตลาดหุ้นจีน คือ ข้อมูล Market Prediction ของ Jitta Wealth ที่พบว่าปัจจุบันในบรรดาหุ้นคุณภาพของจีน มีจำนวนหุ้นถูกมากกว่าหุ้นแพงเยอะมาก
จากหุ้นคุณภาพระดับท็อป 50 ตัว มีหุ้นถูก 43 ตัว มีหุ้นแพงแค่ 7 ตัว คิดเป็น 6.14 เท่า เห็นได้ว่ามีโอกาสสูงที่ลงทุนแล้วจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้
ส่วนที่ผมบอกเม็ดเงินลงทุนทั่วโลก กำลังมุ่งไปจีน เพราะมีจุดสังเกตจากหุ้น Alibaba ที่ปรับตัวขึ้นมา +51.90% ในระยะเวลาเพียงแค่เดือนกว่าๆ (1 ม.ค. 68-24 ก.พ. 68) แสดงให้เห็นว่าต่างชาติ หันมาเข้าซื้อหุ้นจีนแล้ว แต่เนื่องจากข้อมูลหุ้นจีนที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างมีน้อย Alibaba จึงเป็นเป้าหมายแรกๆ และอย่างที่เห็นคือบวกกระจาย
หลังจากนี้ เป็นไปได้สูงว่าเม็ดเงินจะค่อยๆ กระจายตัวไปยังหุ้นคุณภาพอื่นๆ ผลักดันให้ตลาดในภาพรวมพุ่งกลับขึ้นมา
คำตอบของผมในวันนี้ หุ้นจีนยังไม่ได้แพงมาก และยังน่าลงทุนอยู่ครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมไม่ได้หมายรวมถึงไม่มีความเสี่ยงนะครับ เพราะทุกการลงทุนล้วนมีความเสี่ยงทั้งนั้น ซึ่งไม่มีใครในโลกจะสามารถคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ผมพูดย้ำเสมอว่า การลงทุนมีปัจจัยเสี่ยง 2 ด้าน
ด้านแรกเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ เพราะสถานการณ์เปลี่ยน อนาคตที่มองไว้ก็เปลี่ยนได้เช่นกัน เช่น คุณทรัมป์จะทำอะไรก็คาดเดากันไม่ได้ หรือรัฐบาลจีนจะเกิดเปลี่ยนแปลงนโยบาย แม้แต่สงครามจะเกิดขึ้นในประเทศใดหรือรูปแบบใดอีก ก็ยากจะมีคำตอบได้
ด้านที่สองเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้ นั่นคือ ตัวเราเองเป็นคนบริหารจัดการความเสี่ยงให้อยู่ระดับต่ำที่สุด ด้วยการขยันทำการบ้านศึกษาข้อมูลข่าวสารการลงทุนอย่างใกล้ชิด เพื่อใช้ประกอบการบริหารจัดการเงินลงทุนให้ถูกที่ถูกทาง โดยส่วนใหญ่หลักการลงทุนที่ทั่วโลกนิยมใช้กัน คือ การจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite Port จะเป็นเครื่องมือกระจายการลงทุนและจัดการความเสี่ยงให้อยู่ระดับเหมาะสมที่รับได้ โดยปกติ นักลงทุนที่เน้นความเสี่ยงต่ำ จะให้น้ำหนัก Core Port (พอร์ตหลัก)อยู่ที่ 70-80% ของพอร์ตรวม และที่เหลืออีก 20-30% จัดเป็น Satellite Port (พอร์ตรอง)
อย่าลืมนะครับว่า ในสภาวะที่โลกมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ จะช่วยคุณได้ดีทีเดียว โดยให้ลูกค้าจัดพอร์ตหลักที่เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ อย่างพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้คุณภาพ หากจะเป็นหุ้นก็ควรเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอแม้จะอยู่ระดับต่ำก็ตาม อาทิเช่น หุ้นปันผล หรือหุ้นที่เติบโตตามวัฏจักรเศรษฐกิจ หุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาอย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีทองคำ อสังหาริมทรัพย์ แต่ทุกการลงทุนที่ใส่เงินเพิ่มเข้าไปจำเป็นต้องดูว่า ราคาที่ซื้อถูกหรือมีมูลค่าที่เหมาะสมกับการลงทุนในระยะยาว
ส่วนพอร์ตรอง จะเป็นส่วนที่คว้าโอกาสลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง แต่ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นรายประเทศ หุ้นธีมเมกะเทรนด์หรืออุตสาหกรรมที่มีอนาคตเติบโตในระยะยาวๆ ดังนั้นการลงทุนพอร์ตรองจะต้องทำการบ้านวิเคราะห์อย่างหนักและขอคำปรึกษาจากนักวิเคราะห์ก่อนตัดสินใจลงทุนครับ พอร์ตส่วนนี้ ผมยังให้น้ำหนักลงทุนหุ้นจีน สัดส่วน 10-15% ของพอร์ตครับ หุ้นเทคโนโลยีจีน หรือจะเป็นเมกะเทรนด์ในธีม ‘เทคโนโลยี’ ก็ยังน่าสนใจเพราะเทคโนโลยีมีการพัฒนาไม่สิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการกระจายลงทุนทั้งสองประเทศ ‘สหรัฐฯ และจีน’ ก็ทำได้ครับ เพราะต่างก็เป็นเบอร์หนึ่งและเบอร์สองของโลก เพียงแต่ให้จัดสรรสัดส่วนการลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้ครับ สำหรับหุ้นจีนสัดส่วนลงทุนไม่ควรเกิน 15% ในพอร์ตรอง ส่วนหุ้นสหรัฐฯ อาจจะมองที่หุ้นขนาดกลางและเล็กได้
สำหรับคนที่ติดหุ้นจีนมานาน 3-4 ปี เวลานี้หุ้นเทคฯ จีนและหุ้นจีนยังมีความน่าสนใจ ถ้าเราปรับสัดส่วนให้เหมาะสม 10 – 15% เป็นหุ้นเทคจีน ส่วนนักลงทุนที่มีอยู่แล้วหรือถือเกินสัดส่วนนี้แนะนำขายทำกำไรได้ในช่วงนี้ครับ
ส่วนคนที่ยังไม่มีแนะนำว่าเป็นจังหวะสะสมเข้าพอร์ตโดยแบ่งเป็นสองก้อนก้อนแรกคือการ DCA หรือถัวเฉลี่ยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และก้อนสองเป็นการซื้อสะสมรอไว้ ถ้าตลาดปรับฐานลงมาแรงก็เข้าไปซื้อสะสมเพิ่มได้ครับ
และผมขอฝากข้อคิดของนักลงทุนในตำนานระดับโลก ‘Peter Lynch’ บอกถึงนักลงทุนที่ดีว่า “ต้องรู้จักหุ้นที่คุณถือ และรู้ว่าทำไมคุณถึงถือมัน” เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำการบ้านก่อนลงทุน นักลงทุนไม่ควรซื้อหุ้นเพียงเพราะกระแสข่าว การแนะนำจากคนอื่น หรือเพราะเห็นว่าราคากำลังขึ้น แต่ควรศึกษาให้ลึกซึ้งว่า ธุรกิจของบริษัทนั้นทำอะไร มีศักยภาพเติบโตแค่ไหน และมีปัจจัยอะไรที่ส่งผลต่อผลประกอบการ การรู้จักหุ้นที่ตัวเองถือช่วยให้สามารถตัดสินใจลงทุนอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์
นอกจากนี้การรู้ว่าทำไมคุณถึงถือมัน หมายถึงการมีแผนการลงทุนที่ชัดเจน นักลงทุนที่เข้าใจเหตุผลในการลงทุนจะสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ดี และไม่ตื่นตระหนกเมื่อราคาหุ้นตก หากซื้อหุ้นเพราะเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาว ก็ควรรักษาวินัยและถือครองต่อไปจนกว่าปัจจัยพื้นฐานจะเปลี่ยนแปลง ในทางกลับกันหากราคาหุ้นขึ้นโดยไม่มีเหตุผลรองรับ นักลงทุนที่มีความเข้าใจดีย่อมรู้ว่าเมื่อใดควรขายทำกำไร
ผมหวังว่าคุณอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว จะทำให้คุณมีความมั่นใจในการลงทุนสินทรัพย์ที่ใช่อย่างถูกทิศถูกทาง สามารถจัดพอร์ตกระจายลงทุน แบบ Multi-Asset จะช่วยให้คุณก้าวข้ามทุกความผันผวน และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนอย่างตรงเป้าหมายนะครับ และหากต้องการขอคำแนะนำเพิ่มเติมสามารถติดต่อผมหรือทีมงานได้ครับ ขอให้ทุกท่านมีความสุขและประสบผลสำเร็จในการลงทุนครับ