สหรัฐอเมริกาส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดถล่มโรงงานเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมและสถาบันวิจัยนิวเคลียร์ใน ฟอร์โดว์, นาทานซ์ และอิสฟาฮาน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญถ้าในกรณีที่อิหร่านต้องการจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์จริงๆ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่อิสราเอลเปิด ‘Operation Rising Lion’ ส่งกำลังทางอากาศโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน ตามมาด้วยการยิงขีปนาวุธตอบโต้ของอิหร่านเข้าใส่อิสราเอล
จริงๆ แล้วการที่สหรัฐอเมริกาตัดสินใจเข้าร่วมโจมตีอิหร่านนั้น ‘ไม่ใช่เรื่องใหม่’ แต่เป็นเรื่องที่ทั่วโลกเห็นแนวโน้มมาก่อนแล้ว เพราะสหรัฐอเมริกาเคลื่อนย้ายกำลังทางอากาศที่สำคัญอย่าง ‘เครื่องบินทิ้งระเบิด B-2’ และเครื่องบินเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ KC-46 เข้าวางกำลังในฐานบินในภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมถึงในเยอรมนีและดิเอโก กราเซียร์ในมหาสมุทรอินเดีย ตามมาด้วยคำกล่าวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่บอกว่าเขาจะใช้เวลาราว 2 สัปดาห์ตัดสินใจว่าจะโจมตีอิหร่านหรือไม่ แต่กลายเป็นว่าไม่กี่วันหลังจากนั้น สหรัฐอเมริกาก็เข้าร่วมโจมตีอิหร่านโดยทันที
จากข้อเท็จจริงที่ว่าอิสราเอลสามารถครองอากาศหรือมี Air Superiority เหนือน่านฟ้าอิหร่าน ซึ่งหมายถึงกำลังทางอากาศของอิสราเอลมีขีดความสามารถในการปฏิบัติการได้อย่างเสรี และสามารถทำลายภัยคุกคามของอิหร่านได้ จึงทำให้สหรัฐอเมริกาตัดสินใจได้ ‘ง่ายขึ้น’ ในการเข้าร่วมการโจมตี เนื่องจากไม่จำเป็นที่จะต้องใช้กำลังทางอากาศอื่นอย่างเครื่องบินขับไล่ในการกรุยทางและสร้างโซนปลอดภัยสำหรับเครื่องบินทิ้งระเบิดของตนมากนัก
จุดตัดสินใจอื่นก็คือการร้องขอของอิสราเอล เพราะระเบิดของอิสราเอลทำลายโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่ใต้ดินหรือบังเกอร์ได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถเจาะทำลายโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ที่อยู่ลึกมากได้ โดยเฉพาะในฟอร์โดว์ที่เป็นโรงงานเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมซึ่งฝังตัวอยู่ใต้ดินค่อนข้างลึกมาก
คาดว่าเครื่องบินหลักที่สหรัฐอเมริกาใช้ก็คงหนีไม่พ้น ‘B-2 Spirit’ ซึ่งเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดที่มีคุณสมบัติตรวจจับได้ยากหรือ Stealth เพื่อป้องกันอันตรายจากเครื่องบินขับไล่ของอิหร่าน ที่แม้จะแทบไม่เห็นในการปฏิบัติการในครั้งนี้ รวมถึงจรวดต่อสู้อากาศยานของอิหร่านที่ยังคงมีใช้งานอยู่ B-2 Spirit เป็นที่รู้จักกันในฐานะเครื่องบินทิ้งระเบิดที่มีราคาแพงที่สุดในโลก คือมีราคาเฉลี่ยที่ราวลำละ 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือเกือบ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งราคาที่แพงเป็นเพราะค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและทดสอบที่พุ่งสูง รวมถึงความผิดพลาดในการบริหารโครงการในช่วงต้นจนทำให้กองทัพอากาศสหรัฐฯ สามารถจัดหาเข้าประจำการได้เพียง 21 ลำ เมื่อหักสองลำที่ประสบอุบัติเหตุทำให้เหลือใช้งานอยู่ที่ 19 ลำ
B-2 มีพิสัยบินไกล 11,000 กิโลเมตร มีช่องเก็บระเบิดภายในลำตัวสองช่อง ซึ่งสามารถบรรทุกระเบิดได้ช่องละราว 40,000 ปอนด์ ดังนั้นเครื่องบิน B-2 หนึ่งลำสามารถบรรทุกระเบิดได้พอ ๆ กับที่เครื่องบินขับไล่ F-16 ทั้งฝูงบินจะบรรทุกได้เลยทีเดียว
ส่วนระเบิดที่ใช้คือ GBU-57A/B Massive Ordnance Penetrator หรือ MOP ซึ่งสามารถติดตั้งได้กับ B-2 เท่านั้น (แม้ว่าตอนทดสอบจะทดสอบใช้งานกับ B-52 ด้วยก็ตาม แต่ในการใช้งานจริงไม่ได้มีการปรับปรุง B-52 ให้ใช้งานได้)
ระเบิดแบบนี้เป็นระเบิดที่มีน้ำหนักสูงมาก คือมีน้ำหนักราว 30,000 ปอนด์หรือ 13 ตัน โดยเป็นการนำหัวระเบิดแบบ BLU-127 มาติดตั้งชุดนำวิถีด้วย GPS และแรงเฉื่อยหรือ INS และมีครีบบริเวณหางเพื่อบังคับทิศทางให้ตกลงในจุดที่ต้องการ ที่จริงแล้ว BLU-127 นี้มีองค์ประกอบที่เป็นหัวรบดินระเบิดแค่ราว 5,000 ปอนด์เท่านั้น แต่นอกนั้นเป็นมวลที่เกิดจากโลหะอัลลอยด์น้ำหนักสูง ซึ่งเมื่อทิ้งจากความสูงและความเร็วที่เหมาะสม จะสร้างพลังงานจลน์ที่สูงพอที่จะเจาะทะลุพื้นดินถึง 60 เมตร หรือบังเกอร์คอนกรีตหนา 18 เมตรได้ เมื่อเจาะทะลุสำเร็จ ชนวนก็จะจุดระเบิดขึ้นเพื่อทำลายโครงสร้างด้านในตอนไป
เครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 สามารถบรรทุก GBU-57A/B ได้ลำละ 2 นัด และมีรายงานว่าในการโจมตี โรงงานเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมในฟอร์โดว์นั้นใช้ระเบิด 6 นัดเลยทีเดียว ซึ่งภาพถ่ายดาวเทียมที่ปรากฏหลังการโจมตีพบรูขนาดใหญ่บริเวณภูเขาที่เป็นที่ตั้งของโรงงานจำนวน 2 รู นั่นหมายถึงว่าระเบิดลูกแรกทำหน้าที่เจาะเข้าไปก่อน และระเบิดอีกสองลูกก็ทิ้งตามลงมาในจุด ๆ เดียวกันเพื่อทำให้มั่นใจว่าจะสามารถเจาะทะลุเข้าไปยังโรงงานใต้ดินให้ได้
ซึ่งเมื่อพิจารณาดีๆ ก็จะพบว่า ภารกิจนี้คล้ายๆ กับภารกิจในภาพยนตร์เรื่อง Top Gun: Maverick นั่นเอง แต่ภารกิจที่เกิดขึ้นจริงนั้นแตกต่างจากภารกิจในภาพยนตร์ตรงที่เครื่องบินที่ใช้ทิ้งระเบิดเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 ไม่ใช่เครื่องบินขับไล่ F/A-18 ระเบิดที่ใช้ก็เป็น GBU-57A/B ที่มีน้ำหนักสูง ต่างจากในภาพยนตร์ที่ใช้ระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ตระกูล Paveway ที่ติดตั้งกับเครื่องบินขับไล่ และในภารกิจจริงเครื่องบิน B-2 ก็ไม่ต้องบินเรี่ยพื้นและจิกหัวลงมาทิ้งระเบิดก่อนที่จะต้องหลบหลีกจรวดต่อสู้อากาศยานของข้าศึกเหมือนกับ F/A-18 ในภาพยนตร์ เพราะในการปฏิบัติภารกิจจริงจะต้องทำลายจรวดต่อสู้อากาศยานของข้าศึกให้ได้เสียก่อน รวมถึงการทิ้งระเบิดต้องทิ้งจากความสูงมากพอที่ตัวระเบิดจะทำงานและเจาะลงไปใต้ดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ประเทศสมมุติในภาพยนตร์ก็มี F-14 ใช้งาน เช่นเดียวกับอิหร่านซึ่งยังเป็นประเทศเดียวที่ยังใช้งาน F-14 อยู่ เพียงแต่นักบินอเมริกาไม่ต้องพยายามขับ F-14 หนีออกมา เพราะเครื่องบินไม่ได้ถูกยิงตก และในชีวิตจริงการบุกเข้าไปในฐานทัพอากาศก็ไม่ได้ง่ายแบบในภาพยนตร์