วันนี้ (27 ตุลาคม) ที่อาคารรัฐสภา ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส. จังหวัดพิษณุโลก เขต 1 พรรคก้าวไกล ในฐานะสมาชิกรัฐสภา ร่วมอภิปรายในญัตติการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา สมัยวิสามัญ ตามมาตรา 165 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติว่ามีปัญหาเกี่ยวกับการบริหารราชแผ่นดิน โดยระบุว่า จากที่ได้ฟังการอภิปรายมา สมาชิกรัฐสภาหลายคนเชื่อในกระบวนการของรัฐสภาว่าจะสามารถนำเรื่องข้อเรียกร้องของประชาชนมาพูดคุยกันอย่างอดทนและมีวุฒิภาวะได้ รวมทั้งยังเชื่อกันด้วยว่าทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นถ้าทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าไม่ต้องการความวุ่นวาย ป้องกันการกระทบกระทั่งที่จะนำมาซึ่งความสูญเสียของพี่น้องประชาชน จึงขอเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์และใช้กลไกของรัฐสภาและเครื่องมือในระบอบประชาธิปไตยทั้งหมดเพื่อทั้งฟังเสียงของประชาชนและทำหน้าที่ของผู้แทนราษฎรไปพร้อมกัน
“ตั้งแต่มีการเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ รัฐบาลก็ใช้มาตรการที่รุนแรงหลายอย่างเพื่อหยุดการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ แม้จะใช้กฎหมายที่แรงขึ้น มีการจับกุมแกนนำอย่างต่อเนื่องจนจับไปมากกว่า 80 คนแล้ว และก็มีการสลายการชุมนุมด้วยการฉีดน้ำแรงดันสูง แต่การชุมนุมก็ยังดำเนินต่อไป กระจายอยู่ทั่วประเทศ และข้อเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ก็ยังถูกนำเสนอต่อไป ข้อเสนอก็ยังแข็งแรงและแน่วแน่อยู่ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าประเด็นนี้เป็นคำถามแห่งยุคสมัยและถึงเวลาแล้วที่ต้องพูดความจริงกัน เพราะไม่ว่าผู้ใหญ่จะปิดปาก ปิดตา ปิดหู ก็ไม่สามารถปิดความคิดของเยาวชนได้อีกแล้ว มีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้น และถ้ารัฐสภาของเราไม่ตัดสินใจให้ดี เราอาจจะเสียใจในภายในหลัง” ปดิพัทธ์ กล่าว
ปดิพัทธ์กล่าวอีกว่า ตนมีความเคารพต่อพี่น้องประชาชนที่มาแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสงบ และในขณะเดียวกันก็เคารพต่อพี่น้องประชาชนที่มาแสดงออกถึงการเรียกร้องความยุติธรรม ความเท่าเทียม และการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความสงบสันติเช่นเดียวกัน การเปิดใจแล้วพูดคุยกันทั้งในระดับครอบครัวและระดับสังคม วางอคติเอาไว้ วางบาดแผลในอดีตเอาไว้ แล้วฟังคำถามแห่งยุคสมัยและถ้าตั้งหลักและมีสติได้ ประเด็นข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่งมีความหมายตรงไปตรงมาว่าคือการทำให้สิ่งนั้นดีขึ้น จะส่งผลดีกับสถาบันกษัตริย์ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยในโลกสมัยใหม่ แม้ช่วงเวลานี้จะอ่อนไหวเป็นที่สุด แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่คุ้มค่าที่สุด ที่จะมีการพูดคุยถกเถียงกันโดยสันติ และแสวงหาฉันทามติร่วมกันในเรื่องดังกล่าว และที่สำคัญนี่คือบทบาทของผู้แทนราษฎรทุกคนที่จะทำภารกิจนี้ได้โดยทำให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมให้ได้มากที่สุด
“หากทำได้จะสามารถสร้างฉันทามติที่สำคัญที่สุด และก้าวข้ามความขัดแย้งด้วยเครื่องมือของประชาธิปไตยได้อย่างแท้จริง โดยเสนอให้สภาพิจารณาแต่งตั้งคณะทำงาน หรือกรรมาธิการแสวงหาข้อเท็จจริง และศึกษาข้อเสนอด้านการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ของทุกฝ่าย กำหนดกรอบการพูดคุยให้ชัดเจนนำทุกอย่างที่อยู่บนท้องถนนเอาเข้ามาพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล ด้วยวุฒิภาวะในขอบเขตของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และสามารถจัดเป็นเวทีสานเสวนาแบบที่กรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ จัดขึ้นด้วยก็ได้ ซึ่งจะเป็นก้าวแรกในการดำเนินการเรื่องนี้ไปด้วยกัน แต่ทั้งนี้ การตั้งคณะกรรมการต่างๆ จะทำไม่ได้และไม่มีประโยชน์เลย ถ้ายังจับกุมดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมรายวันแบบนี้ จึงจำเป็นต้องให้มีการเพิกถอน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ และคดีที่เกิดขึ้นทั้งหมดของผู้ชุมนุมก่อน และต้องให้แกนนำได้เข้าร่วมในกระบวนการต่างๆ ด้วย ภายใต้บรรยากาศที่ปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้นต้องมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่มีความชัดเจนในการจัดวางสมดุลอำนาจทางการเมืองทั้งหมดอย่างประณีต รอบคอบ และไม่ปิดกั้นทุกข้อเสนอในการปฏิรูประบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข รวมทั้งจำเป็นต้องเปิดกว้าง เพราะรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีการห้ามแก้หมวดหนึ่งหมวดใด หากยิ่งห้ามก็ยิ่งจำทำให้คนสงสัย ยิ่งปิดกั้นก็จะยิ่งโดนเปิด” ปดิพัทธ์ กล่าว
ปดิพัทธ์กล่าวอีกว่า สภาจำเป็นต้องมีความกล้าหาญและเปิดกว้าง รับข้อเสนอต่างๆ มาพิจารณา โดยต้องนำทุกปัญหาและข้อเสนอแนะจากประชาชนทุกฝ่ายมาหารือกันในสภา จะช่วยให้สามารถหยุดทุกความรุนแรงบนท้องถนนได้ เพราะการปิดบังข้อเท็จจริงและการปฏิเสธที่จะตอบคำถามการทำราวกับว่าไม่มีข้อเรียกร้องอยู่ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เรามีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก เพราะ พล.อ. ประยุทธ์ ทำความเสียหายให้กับประเทศและระบอบการเมืองการปกครองของเรามากเหลือเกิน แต่สิ่งที่เราทุกคนจะต้องหยุดความเสียหายร้ายแรงและความแตกสลายของสังคมไทยทันที ก็คือการใช้กลไกของสภา รับฟังและศึกษาข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมในเรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งแท้จริงแล้วคือการปฏิรูประบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขในบริบทของประเทศไทย และมีความบิดเบี้ยวพิกลพิการจากการก่อการกบฏรัฐประหาร ซึ่งเรื่องนี้เราต้องแก้ไขและรับผิดชอบร่วมกัน จนนำไปสู่ระบอบที่เรามีฉันทามติ เป็นระบอบการปกครองที่มั่นคง พระมหากษัตริย์อยู่อย่างมั่นคงสถาพรและสามารถที่จะผ่านกาลเวลาที่ท้าทายแบบนี้ได้
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า