ปี 2024 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในปีทองของหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยี AI ส่งผลให้หุ้นเทคขนาดใหญ่ปรับตัวขึ้นค่อนข้างโดดเด่น ขณะที่ดัชนี Nasdaq ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นเทคให้ผลตอบแทนถึงประมาณ 30% ดัชนีวิ่งขึ้นจากราว 15,000 จุด มาแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 20,000 จุด
หลังจากที่ขาขึ้นดำเนินต่อเนื่องมาเกือบ 2 ปี ล่าสุดสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยตั้งแต่ต้นปี 2025 ดัชนี Nasdaq ร่วงลงมาแล้วกว่า 14% นำโดยบรรดาหุ้นเทคขนาดใหญ่ในกลุ่ม Magnificent 7 ที่ปรับตัวลงเฉลี่ย 18% (ณ วันที่ 3 เมษายน 2025) สอดคล้องกับข้อมูลจากงานสัมมนา UOB Market Outlook 2025 ภายใต้ธีม Navigating Market Currents in Dynamic Conditions ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่มองว่า โอกาสของการลงทุนกำลังกระจายจากหุ้นเทคขนาดใหญ่ไปสู่หุ้นกลุ่มอื่นมากขึ้น
กระจายการลงทุนออกจากหุ้นบิ๊กเทค
ช่วงปี 2022 – 2024 มูลค่าของหุ้น Mag 7 เพิ่มขึ้นจาก P/E 20 เท่า มาเป็น 31 เท่า ขณะที่หุ้นทั่วโลก P/E เพิ่มขึ้นจาก 15 เท่า มาเป็น 18 เท่า และถ้าดูหุ้นทั่วโลกโดยตัดหุ้นสหรัฐฯ ออกไป จะเห็นว่า P/E เพิ่มขึ้นจากแค่ 12 เท่า มาเป็น 13 เท่า สะท้อนว่าการเติบโตในช่วงที่ผ่านมามีการกระจุกตัวในหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่ม Mag 7 เป็นหลัก
การปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้ระดับมูลค่า (Valuation) ของหุ้นกลุ่ม Mag 7 ปรับตัวขึ้นสูง และอาจเกิดความอ่อนไหวต่อปัจจัยต่างๆ ที่เข้ามากระทบได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งเราได้เห็นภาพการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มนี้ในช่วงต้นปี 2025 ปัจจัยหลักที่เข้ามากระทบ คือ
- การเปิดตัวระบบ AI ใหม่ของ DeepSeek ที่กล่าวอ้างว่าใช้ต้นทุนและระยะเวลาพัฒนาที่ต่ำกว่าบริษัทอื่นๆ กระแส DeepSeek ส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์ของบริษัท Nvidia ผู้ผลิตชิปชั้นนำของโลกที่เป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกเมื่อปีที่แล้ว มูลค่าตลาดปรับตัวลงไปกว่า 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กล่าวคือราคาหุ้นปรับตัวลดลง 18% ในการซื้อขายครึ่งวันแรก จะเห็นได้ว่าการพัฒนาเทคโนโลยีและ AI ของจีนได้สะเทือนทั้งแวดวงการลงทุนและเทคโนโลยี AI ทั่วโลก
- การเติบโตของกำไรในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่เริ่มชะลอตัวลง ในขณะที่การใช้จ่ายด้านการลงทุนเพิ่มขึ้น ประกอบกับมูลค่าที่แพงของหุ้น ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลเพิ่มมากยิ่งขึ้น
การปรับตัวลงของหุ้นบิ๊กเทคในขณะนี้ เรายังมองว่าเป็นการปรับตัวแบบ Healthy Correction และช่วยให้ระดับมูลค่ากลับมาอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลมากขึ้น อีกทั้งการเปิดตัวของ DeepSeek ก็ช่วยให้บริษัท AI อื่นๆ ต้องเร่งการพัฒนามากขึ้นอีกซึ่งจะเกิดกระแสการใช้งานที่แพร่หลายขึ้น ส่งผลให้มีโอกาสเติบโตที่จะขยายตัวออกไปในกลุ่มอื่นๆ ไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน หรือเซมิคอนดักเตอร์
Dhanajit Ray, Executive Director, Client Portfolio Manager, Goldman Sachs Asset Management มองว่า เทรนด์และโอกาสของการลงทุนใน AI ถัดจากนี้จะกระจายไปยังธุรกิจด้านการจัดการข้อมูลและรักษาความปลอดภัยมากขึ้น ถัดจากนั้นคือผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน ซึ่งจะเป็นบริษัทที่สามารถใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อยกระดับบริการและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและลงทุนระยะยาว อาจใช้โอกาสนี้ในการเข้าสะสมกลุ่มเทคโนโลยีเพิ่มเติมได้ โดยเน้นการกระจายและให้ความสำคัญกับการคัดเลือกหุ้นให้มากขึ้น เลือกลงทุนในหุ้นคุณภาพดี และได้ประโยชน์จากนโยบายของสหรัฐฯ
Christopher Wong, Client Portfolio Strategist Southeast Asia, Fidelity International บอกว่า ธีมหลักของการลงทุนในหุ้นสำหรับปี 2025 ประกอบไปด้วย 4 ส่วน คือ 1) หุ้นนอกกลุ่ม Mega Caps 2) หุ้นนอกสหรัฐฯ 3) หุ้นที่คนส่วนใหญ่ยังไม่สนใจ และ 4) หุ้นนอกกลุ่ม Magnificent 7
“4 ธีมหลักนี้สามารถสรุปเป็น 2 ธีมกว้างๆ อย่างแรกคือ ระวังและมองให้กว้างกว่าหุ้นสหรัฐฯ ด้วยราคาที่เพิ่มขึ้นสูงมาก โดยเฉพาะกลุ่ม Mag 7 และอย่างที่สองคือมองหุ้นที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้สนใจ”
ภายใต้ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนเพิ่มขึ้นมากขึ้น มุมมองของ UOB Privilege Banking ยังแนะนำเลือกลงทุนในหุ้นคุณภาพดีที่มีปันผล เนื่องจากหุ้นปันผลมีประวัติการสร้างผลตอบแทนที่แข็งแกร่งในระยะยาว มีความผันผวนต่ำกว่าตลาดโดยรวม สามารถช่วยลดผลกระทบจากการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนและยังช่วยให้การลงทุนมี Income สม่ำเสมอจากเงินปันผล ซึ่งเป็นการช่วยสร้าง Total Return ให้กับการลงทุนอีกด้วย
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปีมีโอกาสที่ประธานาธิบดีทรัมป์ จะหยิบนโยบายการลดภาษีนิติบุคคลขึ้นมา เนื่องจากข้อกำหนดสำคัญจากพระราชบัญญัติ Tax Cuts and Jobs Act (TCJA) ปี 2017 จะหมดอายุลงในสิ้นปี 2025 และเป็นหนึ่งในนโยบายหลักที่มีการหาเสียงไว้ว่าจะผลักดันให้มีการลดภาษีนิติบุคคลเพิ่มเติมจาก 21% เหลือ 15% ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของกำไรได้ในอนาคต กลุ่มการลงทุนที่มีโอกาสได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ได้แก่ หุ้นกลุ่มการเงิน, หุ้นขนาดกลางและเล็กของสหรัฐฯ และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เป็นต้น
โอกาสลงทุนท่ามกลางความผันผวนในปี 2025
UOB Privilege Banking แนะนำลงทุนในหุ้นคุณภาพดีที่มีปันผลผ่านกองทุนรวม กรุงศรีโกลบอลดิวิเดนด์เฮดจ์เอฟเอ็กซ์-ปันผล (KFGDIV-D) หรือ กรุงศรีโกลบอลดิวิเดนด์เฮดจ์เอฟเอ็กซ์-สะสมมูลค่า (KFGDIV-A) รวมถึงสามารถเลือกลงทุนผ่าน Off-shore fund กับธนาคารยูโอบีได้ผ่านกองทุน Fidelity Funds – Global Dividend Fund
กองทุนมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นปันผลทั่วโลก คัดเลือกหุ้นที่มีปันผลสม่ำเสมอ และมีคุณภาพดีมีโอกาสเติบโต เน้นสร้างผลตอบแทนรวมจากเงินปันผล พร้อมให้ความสำคัญกับการรักษาเงินลงทุน มีกลยุทธ์การเลือกหุ้นแบบ ABC คือ Attractive Value , Better quality company และ Consistent Dividends
ลักษณะพอร์ตการลงทุนมีความกระจาย เน้นหุ้นกลุ่ม Defensive โดยกลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรกของพอร์ตคือ กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มการเงิน และกลุ่มอุปโภคบริโภค (ข้อมูลพอร์ตการลงทุน ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2025)
สำหรับท่านที่สนใจปรึกษาด้านการลงทุนเพิ่มเติม สามารถติดต่อที่ปรึกษาทางการเงิน (Client Advisor) ของ UOB Privilege Banking โทร. 0 2081 0999 หรือคลิก www.uob.co.th/privilegebanking
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน