ท่ามกลางสถานการณ์ฝนตกหนักและน้ำท่วมที่ยังคงสร้างผลกระทบต่อหลายจังหวัดทั่วประเทศไทย รายงานสำรวจล่าสุดโดยสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ด้วยการสนับสนุนจาก UNICEF พบว่า เกือบทุกโรงเรียนในประเทศไทยต้องเผชิญสภาพอากาศรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะที่โรงเรียนจำนวนมากยังขาดการสนับสนุนและทรัพยากรที่จำเป็นในการรับมือและปกป้องความปลอดภัยและการเรียนรู้ของเด็ก
การสำรวจ ‘ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความช่วยเหลือที่โรงเรียนต้องการ’ ดำเนินการระหว่างเดือนกรกฎาคม–สิงหาคม 2025 โดยเก็บข้อมูลจากโรงเรียนของรัฐ 329 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงโรงเรียนเฉพาะความพิการ 14 แห่ง ใน 14 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบรุนแรงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เช่น เชียงราย เชียงใหม่ นครราชสีมา ยะลา และนราธิวาส ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าโรงเรียนและนักเรียนกำลัง ‘เผชิญความเสี่ยงสูงขึ้น’ ต่อฝนตกหนัก น้ำท่วม พายุ และคลื่นความร้อน ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะโลกรวนที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ผลการสำรวจพบว่า ‘ทุกโรงเรียน’ เคยประสบสภาพอากาศรุนแรงอย่างน้อยหนึ่งประเภทในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา โดยภัยที่เกิดบ่อยและส่งผลกระทบรุนแรงที่สุด ได้แก่ พายุ ฝนตกหนัก และน้ำท่วม ทั้งนี้โรงเรียน 3 ใน 4 แห่ง (ร้อยละ 75) ระบุว่าสาธารณูปโภคและบริการพื้นฐานได้รับผลกระทบ เช่น ไฟฟ้า น้ำดื่ม ห้องน้ำ สุขอนามัย อาหารปลอดภัย หรือการเดินทางมาโรงเรียน ขณะที่กว่าครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 55) รายงานว่านักเรียนเผชิญปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นโรคที่มากับความร้อน โรคที่มียุงเป็นพาหะ หรือโรคที่มากับน้ำ เช่น ไข้เลือดออก ท้องร่วง หรือโรคระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ เกือบครึ่งหนึ่งของโรงเรียน (ร้อยละ 46) ได้รับความเสียหายต่ออาคารสถานที่
ที่น่ากังวลคือ โรงเรียนประมาณครึ่งหนึ่งระบุว่า ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือใด ๆ หลังประสบภัยสภาพอากาศรุนแรง ขณะที่โรงเรียนที่เคยได้รับความช่วยเหลือ ส่วนใหญ่ได้รับในรูปแบบข้อมูลหรือการแจ้งเตือนล่วงหน้า (ร้อยละ 41) การอบรมหรือจัดกิจกรรมเตรียมความพร้อม (ร้อยละ 35) และการช่วยเหลือฉุกเฉินด้านอาหาร น้ำดื่ม หรือสิ่งของจำเป็น (ร้อยละ 34)
เซเวอรีน เลโอนาร์ดี รองผู้แทนองค์การ UNICEF ประเทศไทย กล่าวว่า “ข้อมูลครั้งนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศกำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิของเด็กในการเข้าถึงการศึกษา และทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราจำเป็นต้องเร่งเสริมความพร้อมให้โรงเรียนมีความรู้ โครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากรที่เหมาะสม เพื่อให้เด็กทุกคนยังคงเรียนได้อย่างปลอดภัย แม้ในยามน้ำท่วมหรือยามที่เกิดคลื่นความร้อน หากเราไม่ลงมือในวันนี้ ผลที่ตามมาคือการสูญเสียการเรียนรู้และศักยภาพของเด็กจำนวนมาก”
เมื่อปี 2024 อุทกภัยจากพายุไต้ฝุ่นยางิส่งผลให้นักเรียนกว่า 19,000 คน ในโรงเรียน 555 แห่งในภาคเหนือของไทยไม่สามารถไปโรงเรียนได้ ครูต้องปรับไปใช้การเรียนออนไลน์หรือส่งมอบใบงานถึงบ้านของนักเรียน
ผลสำรวจยังพบว่าโรงเรียนส่วนใหญ่รับรู้ถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น โดย 2 ใน 3 ของโรงเรียนคาดว่าจะเผชิญฝนตกหนักและน้ำท่วมรุนแรงมากขึ้น และกว่าครึ่ง (ร้อยละ 54) คาดว่าจะเจอคลื่นความร้อนที่รุนแรงกว่าเดิมในอนาคต โดยผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิตของนักเรียน เช่น การเจ็บป่วย การบาดเจ็บ หรือการเสียชีวิต เป็นความกังวลสูงสุดของโรงเรียน
ในด้านความพร้อมและขีดความสามารถของโรงเรียนในการรับมือกับสภาพอากาศรุนแรง โรงเรียนกว่าครึ่ง (ร้อยละ 53) ประเมินว่าตนมีความพร้อมอยู่ในระดับ ‘ปานกลาง’ ความต้องการเร่งด่วนที่โรงเรียนระบุ ได้แก่ การอบรมและจัดกิจกรรมให้นักเรียนเรียนรู้เรื่องภาวะโลกรวนและการปรับตัว การอบรมครูเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปรับตัว และข้อมูลหรือระบบแจ้งเตือนภัยที่ทันเวลาและเชื่อถือได้
แม้เกือบทุกโรงเรียนจะสอดแทรกเนื้อหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในการเรียนการสอน แต่ครูกว่าร้อยละ 80 ไม่เคยได้รับการอบรมอย่างเป็นทางการ และต้องพึ่งการเรียนรู้ด้วยตนเอง ขณะที่โรงเรียนเฉพาะความพิการมีความต้องการสูงกว่าโรงเรียนทั่วไป ทั้งด้านการอบรมครู สื่อการเรียนรู้ที่ทันสมัย อุปกรณ์การเรียนการสอนที่เหมาะสม และงบประมาณสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมศึกษาและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญความเสี่ยงสูงจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ โดยดัชนี Global Climate Risk Index ปี 2025 จัดอันดับให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 30 ของประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ขณะที่การวิเคราะห์ของ UNICEFในปี 2021 จัดไทยอยู่อันดับที่ 50 จาก 163 ประเทศที่เด็กเผชิญความเสี่ยงสูงสุด นอกจากนี้ รายงาน Over the Tipping Point ปี 2023 ของ UNICEF ระบุว่า เด็กกว่า 10.8 ล้านคนในประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงต่ออุทกภัยและภัยแล้ง
“โรงเรียนคือด่านหน้าของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ” เลโอนาร์ดีกล่าวเพิ่มเติม “เราต้องลงทุนอย่างเร่งด่วนเพื่อเสริมความพร้อมให้โรงเรียนทั่วประเทศสามารถรับมือกับสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น และทำให้มั่นใจว่าเด็กทุกคน รวมถึงเด็กในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากหรือพื้นที่ห่างไกล ได้เรียนรู้อย่างปลอดภัย การเตรียมความพร้อมให้โรงเรียนและระบบการศึกษาไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่ออนาคตของเด็กทุกคน”
UNICEF กำลังทำงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และพันธมิตรอื่นๆ เพื่อผลักดัน ‘การศึกษาเพื่อรับมือสภาพภูมิอากาศ’ (Climate Smart Education) ในการให้โรงเรียนทั่วประเทศมีความปลอดภัย ยืดหยุ่น และครอบคลุม เพื่อให้เด็กทุกคนสามารถเรียนรู้อย่างเต็มที่และเติบโตเต็มศักยภาพท่ามกลางสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว





ภาพ: Anan Chonmahatrakul / UNICEF / 2025
อ้างอิง:
- UNICEF ประเทศไทย


