โวลเกอร์ เติร์ก (Volker Türk) ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อการเลือกตั้งเมียนมา 2025-2026 ชี้ไร้เสรีภาพทางการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสันติ ขณะที่กองทัพควบคุมสถานการณ์เบ็ดเสร็จ ซึ่งทำให้เกิดความรุนแรงและการข่มขู่ในการลงคะแนนเสียง
UN ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลถึงการเลือกตั้งเมียนมา ซึ่งจะจัดขึ้นในเฟสแรก คือวันที่ 28 ธันวาคมที่กำลังจะถึงนี้ ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีที่มีการลงคะแนนเสียงเลือกผู้นำประเทศอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2021 เป็นต้นมา
แถลงการณ์ระบุว่า การเลือกตั้งที่จัดโดยกองทัพเมียนมา นำไปสู่การยุบพรรคการเมืองสำคัญ การคุมขังฝ่ายต่อต้านและบุคคลสำคัญรวมทั้งสิ้นนับพันคน โดยเฉพาะอองซานซูจี อดีตที่ปรึกษาแห่งรัฐฯ ขณะที่วิกฤตจากการรัฐประหารทำให้เกิดความขัดแย้งที่ปะทะด้วยอาวุธ การพลัดถิ่นจำนวนมาก และการล่มสลายทางเศรษฐกิจที่ซ้ำเติมด้วยเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงในเดือนมีนาคม 2025 ทำให้วิกฤตทางมนุษยธรรมรุนแรงยิ่งขึ้น
ข้อมูลของ OHCHR เปิดเผยว่า การลงคะแนนเสียงในเมียนมาเกิดขึ้นในบรรยากาศที่ไร้เสรีภาพ และเต็มไปด้วยการข่มขู่ เช่น มีผู้ถูกจับกุมภายใต้กฎหมายคุ้มครองการเลือกตั้ง เพราะแสดงความเห็นต่างจากรัฐบาล หรือบางรายถูกลงโทษร้ายแรง มีเยาวชนในย่างกุ้งถูกจำคุก 42-49 ปีจากการแขวนป้ายต่อต้านเลือกตั้ง ขณะที่บุคคลสาธารณะถูกลงโทษฐาน ‘บ่อนทำลายความเชื่อมั่นสาธารณะ’ หลังวิจารณ์สื่อโฆษณาชวนเชื่อสนับสนุนเลือกตั้ง
นอกจากนี้ รัฐบาลทหารเมียนมายังข่มขู่ผู้พลัดถิ่นในประเทศว่า หากประชาชนไม่กลับภูมิลำเนาไปเลือกตั้ง บ้านจะถูกยึดหรือได้รับการโจมตีทางอากาศ โดย UN ชี้ว่า นี่คือการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน
ขณะเดียวกัน อันตรายจากการเลือกตั้งยังรวมถึงกลุ่มติดอาวุธที่ต่อต้านคำสั่งกองทัพเมียนมา โดยรายงานระบุว่า มีครูผู้หญิง 9 คนถูกลักพาตัวระหว่างเดินทางไปฝึกอบรมการลงคะแนนเสียงในรัฐมอญ แม้ได้รับการปล่อยตัวในภายหลัง แต่ถูกเตือนไม่ให้ไปเลือกตั้ง
ขณะที่กลุ่มต่อต้านที่ใช้ชื่อ ‘กองทัพย่างกุ้ง’ (Yangon Army) วางระเบิดสำนักงานฝ่ายปกครองท้องถิ่นที่เตรียมจัดการเลือกตั้ง และข่มขู่ว่า จะเดินหน้าโจมตีผู้จัดการเลือกตั้งต่อไป
ทั้งนี้ สเตฟาน ดูจาร์ริก โฆษกเลขาธิการ UN เปิดเผยว่า จูลี บิชอป ผู้แทนพิเศษได้เดินทางเยือนเมียนมาเป็นครั้งที่ 3 และพบกับ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย เป็นที่เรียบร้อย พร้อมย้ำว่า เมียนมาต้องยุติความรุนแรงเพื่อเปิดช่องทางความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการฟื้นฟู รวมถึงเดินหน้าสู่การแก้ไขปัญหาที่อยู่ในสายตาประชาคมโลกอย่างมีส่วนร่วมและสันติ
ภาพ: Issei Kato / Reuters
อ้างอิง:


