ยูเครนเรียกร้องให้สหประชาชาติ (UN) และกาชาดสากล เข้าตรวจสอบค้นหาความจริงเกี่ยวกับกรณีการเสียชีวิตของชาวยูเครนกว่า 50 คน จากการโจมตีเรือนจำโอเลนิฟกา ซึ่งถูกรัสเซียใช้เป็นสถานที่กักขังนักโทษสงครามชาวยูเครน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ค่ายกักกันในโอเลนิฟกา ซึ่งถูกควบคุมโดยสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์ (DNR) ยังคงไม่ชัดเจน โดยยูเครนและรัสเซียต่างกล่าวหากันและกันว่าเป็นฝ่ายโจมตีค่ายกักกันดังกล่าว
ยูเครนกล่าวว่า นักโทษที่ถูกคุมขังในเรือนจำแห่งนี้ถูกทรมาน และกล่าวว่าเรือนจำตกเป็นเป้าการโจมตีของรัสเซีย เนื่องจากรัสเซียต้องการทำลายหลักฐานการทรมานและการสังหารนักโทษ โดยประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน ระบุว่า การโจมตีดังกล่าวเป็นอาชญากรรมสงครามโดยเจตนาของรัสเซีย
ข้างฝ่ายรัสเซียกล่าวว่า ค่ายกักกันดังกล่าวถูกโจมตีด้วยจรวดที่แม่นยำของยูเครน โดยกระทรวงกลาโหมของรัสเซียระบุว่า การโจมตีเรือนจำในโอเลนิฟกาเกิดขึ้นด้วยปืนใหญ่ Himars ที่ผลิตในสหรัฐอเมริกา และกล่าวหายูเครนว่าจงใจกระทำการยั่วยุ ขณะที่ช่องทีวี Russia 1 ของรัฐบาลรัสเซีย เผยแพร่คลิปวิดีโอที่เผยให้เห็นสภาพภายในของเรือนจำหลังเกิดเหตุโจมตี โดยเป็นภาพเตียงสองชั้นที่พังยับเยินและศพที่ไหม้เกรียมอย่างรุนแรง
แต่ยูเครนปฏิเสธว่าไม่มีการโจมตีด้วยจรวดหรือปืนใหญ่ พร้อมทั้งเรียกร้องให้สหประชาชาติและองค์กรกาชาดเข้าตรวจสอบ
โดยหลังเกิดเหตุการณ์โจมตี ยูเครนได้ออกมาเรียกร้องผ่านการโพสต์ข้อความทางโซเชียลมีเดียว่า สหประชาชาติและกาชาดควรดำเนินการในเรื่องนี้ในทันที เนื่องจากทั้งสององค์กรได้ให้การรับประกันว่าเชลยศึกที่เรือนจำแห่งนี้จะปลอดภัย
ด้านกาชาดเปิดเผยว่า ทางองค์กรกำลังพยายามเข้าถึงสถานที่ เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการอพยพและรักษาผู้บาดเจ็บ
“สิ่งที่เราให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในตอนนี้คือทำให้แน่ใจว่าผู้บาดเจ็บได้รับการรักษาพยาบาล และร่างของผู้เสียชีวิตได้รับการจัดการอย่างสง่างาม” คำแถลงของกาชาดระบุ
ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันว่านักโทษสงครามที่ถูกคุมขังในเรือนจำแห่งนี้นั้น รวมถึงสมาชิกของกองพันอาซอฟ ซึ่งถูกจับตัวไปในระหว่างการปกป้องเมืองมาริอูโปลทางตอนใต้เมื่อเดือนพฤษภาคม โดยรัสเซียกล่าวหาว่า คนกลุ่มนี้เป็นพวกนาซีใหม่และอาชญากรสงคราม
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (29 กรกฎาคม) หลังการโจมตีค่ายกักกัน สถานทูตรัสเซียในสหราชอาณาจักรทวีตข้อความว่า กลุ่มติดอาวุธอาซอฟ “สมควรถูกประหารชีวิต แต่ไม่ใช่โดยการยิงเป้า แต่เป็นการแขวนคอ เพราะพวกเขาไม่ใช่ทหารจริง พวกเขาสมควรตายอย่างน่าอัปยศ”
ก่อนหน้าเดือนกุมภาพันธ์ 2022 เรือนจำแห่งนี้ว่างเปล่า ไม่ถูกใช้งาน จนกระทั่งรัสเซียรุกรานยูเครน เรือนจำแห่งนี้จึงถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับกักขังเชลยศึกและพลเรือนที่ไม่ผ่านการคัดกรองของรัสเซีย ซึ่งเป็นระบบที่รัสเซียใช้สอบสวนชาวยูเครนที่ถูกจับ ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะส่งพวกเขาไปที่ใด
ภาพ: Diego Herrera Carcedo / Anadolu Agency via Getty Images
อ้างอิง: