ดูเหมือนว่าการขายกิจการในอาเซียนให้ Grab จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของบริษัทแต่อย่างใด ซ้ำยังเป็นการเปิดโอกาสให้ Uber ได้พัฒนาสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้เป็นอย่างดี เพราะถึงแม้จะถอยจากตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่สิ่งที่ Uber ประกาศผ่านการประชุมใหญ่ประจำปีเป็นสิ่งที่ทำให้โลกต้องจับตามองอีกครั้ง
ในงานประชุมใหญ่ประจำปีของ Uber เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาซึ่งจัดขึ้นในลอสแอนเจลิส บริษัทไรด์แชริ่งรายใหญ่ได้ประกาศว่าเป้าหมายใหม่ของพวกเขาคือการเดินทางร่วมกันบนท้องฟ้า โดยตั้งใจจะให้การบริการแท็กซี่พลังงานไฟฟ้าซึ่งสัญจรทางอากาศ และจะเปิดให้บริการในอีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า
โปรเจกต์แท็กซี่ลอยฟ้านี้จะมีชื่อว่า UberAir และได้จับมือกับหน่วยวิจัยพัฒนาและการสั่งการทางวิศวกรรมของกองทัพสหรัฐฯ (RDECOM) ในการสร้าง โดยความร่วมมือครั้งนี้ดำเนินการภายในฐานวิจัยของกองทัพ ซึ่งมุ่งเน้นในการวิจัยเทคโนโลยีให้สามารถขับเคลื่อนยานพาหนะนี้ในแนวดิ่งสำหรับการขึ้นบินและลงจอด นอกจากนี้ Uber กับกองทัพยังร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีการบินด้วยระบบใบพัดแบบที่จะมีเสียงเบากว่าที่เคยมีมาอีกด้วย
สำหรับ UberAir จะสามารถบินอยู่ที่ความสูง 2,000 ฟุต มีความเร็ว 150 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 241 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) โดยเดินทางเป็นระยะสั้น 60 ไมล์ ต่อการชาร์จแบตเตอรี่หนึ่งครั้ง (ประมาณ 96.5 กิโลเมตร) อีกทั้งบริษัทตั้งเป้าไว้ว่าจะทำการสาธิตการบินด้วยเครื่องขนาดผู้โดยสาร 4 ที่นั่งในดัลลัสและลอสแอนเจลิสภายในปี 2020 และพร้อมจะเปิดให้บริการจริงในปี 2023
ทางฝั่งการร่วมมือกับนาซานั้น Uber ได้ขยายข้อตกลงกับนาซาเพิ่มเติมซึ่งจะทำให้ทั้งสองหน่วยงานสามารถแบ่งปันข้อมูลกันเพื่อที่จะสร้าง ‘เครือข่ายการบินในเมืองของไรด์แชริ่ง’ ซึ่งนาซาเองต้องการข้อมูลนี้เพื่อจำลองสถานการณ์ด้วยคอมพิวเตอร์สำหรับศึกษาวิธีที่อากาศยานขนาดเล็กอย่าง UberAir จะจัดการกับสภาพแวดล้อมที่มีผู้คนแน่นหนา ซึ่งก่อนหน้านี้ Uber ก็เคยมีข้อตกลงกับนาซาในการวิจัย การจัดการยานพาหนะไร้คนขับสำหรับความสูงระดับต่ำมาแล้ว
ถือว่าเป็นก้าวสำคัญสำหรับ Uber ที่จะก้าวข้ามการเป็นไรด์แชริ่งธรรมดา Uber พยายามเปลี่ยนตัวเองจากการเป็นรถรับส่งเป็นบริการระดับอากาศยาน ซึ่งการร่วมมือของบริษัทกับองค์กรยักษ์ใหญ่อย่างกองทัพสหรัฐฯ และนาซาเพื่อพัฒนาโครงการและสร้างความเชื่อมั่นทางกฎหมายเป็นการยืนยันถึงความทะเยอทะยานของ Uber ได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญ Uber ตั้งเป้าไว้ว่า UberAir จะมุ่งสู่การเป็นยานพาหนะไร้คนขับในอนาคตอีกด้วย
อ้างอิง: