นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของ Uber เมื่อบริษัทรายงานผลกำไรจากการดำเนินงานเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี จากการควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้น หลังขาดทุนเรื้อรังถึง 3.15 หมื่นล้านดอลลาร์ จากการใช้จ่ายอย่างหนักเป็นระยะเวลาเกือบทศวรรษเพื่อหวังการเติบโตอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้ Uber กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก จากการผลักดันโดยเหล่าสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี โดยใช้ประโยชน์จากแหล่งเงินทุนราคาถูกจำนวนมากเพื่ออุดหนุนราคาค่าโดยสาร และครองส่วนแบ่งตลาดได้จำนวนหนึ่ง แต่การผลักดันอย่างรุนแรงซึ่งเกี่ยวข้องกับการละเมิดกฎระเบียบแท็กซี่ในหลายประเทศ ประกอบกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก ทำให้ Uber กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเย่อหยิ่งในซิลิคอนแวลลีย์ จากการแสวงหาแหล่งเงินทุนราคาถูกในช่วงเวลาที่อยู่ระหว่างวิกฤตการเงินและการระบาดใหญ่ของโควิด
Dara Khosrowshahi ประธานกรรมการบริหารของ Uber ระบุว่า ตลอดหลายปีผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามพูดถึง Uber ต้องยอมรับว่าผลกำไรไม่ใช่สิ่งแรกที่ถูกพูดถึงหรือนึกถึง ในความเป็นจริง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานักวิเคราะห์จำนวนมากก็ประกาศอย่างตรงไปตรงมาว่าบริษัทจะไม่สามารถทำเงินใดๆ ได้เลย
Khosrowshahi กล่าวเสริมว่า การมีเงินทุนที่หาได้ง่ายในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาได้บดบังความย่ำแย่ของธุรกิจจำนวนมาก แต่ Khosrowshahi อ้างว่า นั่นไม่เคยเป็นความจริงสำหรับ Uber แม้ว่าในความพยายามที่จะแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาดเรียกรถใหม่และบังคับให้คู่แข่งรายเล็กถอยหนี จะต้องผลาญเงินสดเป็นจำนวนมากก็ตาม
การพลิกผันทางการเงินของ Uber เป็นผลมาจากความต้องการใช้บริการที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังการแพร่ระบาดของโควิด และบริษัทประสบความสำเร็จในการขยายตัวไปสู่ธุรกิจบริการส่งอาหาร ภายใต้การบริหารของ Khosrowshahi ซึ่งก้าวเข้ามาเมื่อ 6 ปีที่แล้ว แทนผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง Travis Kalanick ที่ถูกบังคับให้ลาออกไปจากเรื่องอื้อฉาวบ่อยครั้ง นอกจากนี้บริษัทยังได้ขึ้นราคาและดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อควบคุมต้นทุน ช่วยหนุนอัตรากำไรให้ปรากฏเป็นครั้งแรกในรอบเกือบทศวรรษ
ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ Uber รายงานกำไรก่อนหักภาษีจากการดำเนินงานเป็นเงินจำนวน 326 ล้านดอลลาร์ พลิกกลับจากการขาดทุนจากการดำเนินงาน 713 ล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า Khosrowshahi กล่าวว่า การที่บริษัทก้าวไปสู่ความสามารถในการทำกำไร รวมถึงสร้างกระแสเงินสดประจำไตรมาสที่มากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ สะท้อนถึงการดำเนินงานอย่างมีวินัย ยอดผู้ใช้งานที่ฟื้นตัว และการสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคได้อย่างแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ Uber ยังคาดการณ์ว่า ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้จะยังคงแข็งแกร่งต่อไป โดยคาดการณ์ว่ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะอยู่ระหว่าง 975 ล้านดอลลาร์ ถึง 1.025 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับประมาณการของวอลล์สตรีทที่ 915 ล้านดอลลาร์ ส่วนมูลค่ารวมจากค่าธรรมเนียม ค่าเดินทาง และค่าขนส่ง Uber คาดการณ์ไว้ที่ 3.4-3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 3.39 หมื่นล้านดอลลาร์เช่นกัน
อ้างอิง: