×

‘Turbo Timo’ ในการเผชิญหน้ากับลิเวอร์พูล และอีกเป้าหมายที่ใหญ่กว่าแค่การทำประตูในสนาม

20.09.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • ติโม แวร์เนอร์ กำลังจะได้ลงสนามพบกับลิเวอร์พูล ทีมที่เคยหมายมั่นปั้นมือว่าจะได้ย้ายไปร่วมงานกัน แต่สุดท้ายเพราะโควิด-19 ทำให้ทุกอย่างสลายไป
  • แต่กองหน้าทีมชาติเยอรมนีเชื่อว่าเชลซีคือคำตอบที่เหมาะสมกับตัวเขามากกว่า 
  • นอกเหนือจากการทำประตูในสนามแล้ว แวร์เนอร์ได้เพิ่มเป้าหมายใหม่ในการทำประตูนอกสนาม แต่มันเป็นประตูที่เขาไม่สามารถจะทำได้เพียงคนเดียว ทุกคนต้องช่วยกัน

ย้อนหลังกลับไปในช่วงเดือนมีนาคม ก่อนที่โลกทั้งใบจะต้องตกอยู่ใน ‘สงครามโรค’ ด้วยกันทั้งหมด ในเวลานั้นดูเหมือนเส้นทางของ ติโม แวร์เนอร์ ดาวยิงผู้ร้อนแรงของแอร์เบ ไลป์ซิก จะถูกกำหนดเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

 

ลิเวอร์พูลต้องการเขา เจอร์เกน คล็อปป์ ชื่นชอบในตัวเขา และเขาเองก็อยากจะย้ายมาเล่นให้กับทีมที่ดีที่สุดทีมหนึ่งของยุโรป ที่ที่จะทำให้เขาสามารถก้าวสูงขึ้นไปสู่จุดที่เขาเองก็อาจไม่รู้ว่าจะไปได้ไกลถึงไหนกัน

 

แต่เพราะโควิด-19 ทำให้เส้นที่ถูกขีดไว้ถูกลบไปทั้งหมด ลิเวอร์พูลปฏิเสธที่จะทำในสิ่งที่พวกเขาเคยรับปากด้วยเหตุผลความจำเป็นทางการเงิน (แม้ว่าล่าสุดแชมป์พรีเมียร์ลีกจะซื้อ ดิโอโก โชตา มาด้วยราคา 45 ล้านปอนด์ ซึ่งใกล้เคียงกับค่าตัวของแวร์เนอร์ก็ตาม แต่ก็มีความต่างกรรมต่างวาระ) ขณะที่ดาวยิงทีมชาติเยอรมนีเองเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา

 

จากที่เคยคิดว่าจะอดทนรอโอกาสในการเล่นที่แอนฟิลด์อีกปี ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อเขารู้ว่าเชลซีสนใจจะดึงไปร่วมทีมด้วย

 

การได้พูดคุยกับ แฟรงค์ แลมพาร์ด ทำให้แวร์เนอร์เชื่อว่าบางทีสแตมฟอร์ดบริดจ์อาจจะเป็นที่ที่เหมาะกับตัวเขามากกว่า

 

“เขาโทรมาหาผม และเราได้คุยกันในเรื่องแนวคิดของฟุตบอลและความคิดของเขาว่าอยากจะให้ทีมมีหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งสำหรับผมมันดูดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวิธีการที่เขาคุยกับผม” แวร์เนอร์เล่าถึงบทสนทนาที่เปลี่ยนชีวิตของเขา

 

“เขาไม่ได้มาในแนวว่าผมเป็นโค้ชนะ ผมต้องการคุณย้ายมาอยู่กับเรา การคุยกันของเราค่อนข้างผ่อนคลาย เขาถามว่าผมคิดอ่านอย่างไร ถ้าต้องเล่นตรงนั้นหรือตรงนี้จะรู้สึกอย่างไรบ้าง ซึ่งผมเองก็สามารถแสดงความเห็นได้”

 

“เขาชอบการเล่นเพรสซิ่ง การเปลี่ยนจังหวะเกมที่รวดเร็ว แต่ว่าก็ต้องครองบอลได้ดีด้วย เขาบอกว่าผมจะมีอิสระในการเคลื่อนที่อย่างถูกต้องในสนาม ผมเชื่อใจคุณ ซึ่งมันเป็นการพูดคุยที่ดีมาก”

 

อย่างไรก็ดี แวร์เนอร์ยืนยันว่าไม่มีการล็อกสเปกว่าจะต้องเล่นตำแหน่งใดเป็นพิเศษ เพราะกับไลป์ซิก เขาเองก็เล่นได้หมดทุกตำแหน่งในแนวรุก ทุกแผนการเล่น 

 

“การเล่นได้หลากหลายเป็นหนึ่งในจุดแข็งของผม ซึ่งผมอยากจะทำมันให้ดีขึ้น”

 

อีกคนที่มีส่วนอย่างมากที่ทำให้เขาตัดสินใจได้ง่ายคือ ‘เอเจนต์รูดิเกอร์’ หรืออันโตนิโอ รูดิเกอร์ ปราการหลังทีมชาติเยอรมนีที่ช่วยกล่อมจนทำให้เชื่อว่าเชลซีคือที่ที่เหมาะสมกับเขา และยังช่วยเหลือในการปรับตัวที่นี่ โดยเฉพาะการช่วยเป็นวุ้นแปลภาษาให้เวลาที่แลมพาร์ดพูดภาษาอังกฤษที่เร็วจัดจนเขาฟังไม่ออก

 

“บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจ แต่โชคดีที่มีเขาที่พูดภาษาเดียวกับผมอยู่” แวร์เนอร์กล่าวถึงเพื่อนรักคนใหม่ “เขาเป็นคนในทีมที่จะบอกผมเกี่ยวกับทีม เกี่ยวกับสตาฟฟ์ เพื่อนร่วมทีม บรรยากาศภายในทีม ทุกคนดีต่อกันทั้งหมดไหม เขาบอกว่าผมจะสนุกในการเล่นที่นี่”

 

สำหรับลิเวอร์พูล เขายอมรับว่ามีการพูดคุยกับคล็อปป์จริง และการย้ายไปเล่นในแอนฟิลด์ก็เกือบจะเป็นเรื่องจริงแล้ว

 

“ในโลกอีกใบ มันอาจจะเกิดขึ้นก็ได้” เขายอมรับตรงๆ “เวลาที่ทีมอย่างลิเวอร์พูลโทรมา อย่างไรคุณก็ต้องรับฟังก่อนเสมอและคิดถึงมัน พวกเขาเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในโลก มีซูเปอร์โค้ช ซึ่งก็เป็นคนเยอรมันด้วย ดังนั้นแน่นอนว่าผมคิดถึงเรื่องนี้ แต่ที่สุดแล้วผมเลือกจะไปเชลซี

 

“ไม่ใช่เพราะว่ามันมีอะไรที่ผิดไปกับลิเวอร์พูล แค่ที่เชลซีดูเหมือนว่าทุกอย่างมันจะเหมาะกับผมมากกว่า”

 

โชคชะตายังดูเล่นตลกต่อไป เมื่อคู่แข่งในเกมแรกที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ บ้านหลังใหม่ของเขา คือทีมที่ไม่มีวาสนาจะอยู่ด้วยกันอย่างลิเวอร์พูล ทีมที่เชลซีพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อจะไล่ตามให้ทันให้ได้ ซึ่งล่าสุดพวกเขาเพิ่งได้ตัว เอดูอาร์ เมนดี ผู้รักษาประตูดาวรุ่งจากแรนส์มาเป็นนักเตะใหม่รายที่ 7 

 

นอกจากเมนดีและแวร์เนอร์แล้วยังมี ฮาคิม ซิเยค, เบน ชิลเวลล์, ติอาโก ซิลวา, มาแล็ง ซารร์ และอีกหนึ่งความหวังสูงสุดอย่าง ไค ฮาเวิร์ตซ์ ที่ได้โอกาสลงประเดิมสนามพร้อมกับ ‘Turbo Timo’ ซึ่งเป็นชื่อที่แฟนๆ เรียกขาน

 

“ผมก็ประหลาดใจนิดหน่อยเกี่ยวกับชื่อ Turbo Timo แต่มันก็ไม่ใช่ชื่อที่เลวร้ายที่สุดนะ หวังว่าผมจะแสดงให้เห็นว่าชื่อนี้เหมาะกับผมจริงๆ”

 

หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาได้รับฉายานี้คือความเร็ว ซึ่งสิ่งที่เป็นความภาคภูมิใจของเขาคือสถิติการวิ่ง 100 เมตรได้ในเวลา 11.1 วินาที สถิติที่เขาคิดว่าบางทีอาจจะทำได้ดีกว่านี้อีก

 

“ครั้งสุดท้ายที่ผมวิ่งได้ 11.1 วินาทีเป็นตอนที่ผมอายุ 15 หรือ 16 ปี ซึ่งผมหวังว่าอาจจะวิ่งได้เร็วขึ้นอีกนิด” 

 

โดยเคล็ดไม่ลับที่เขาบอกทุกคนได้คือการที่เขาต้องฝึกฝนอย่างหนักในการวิ่งขึ้นเขาตามคำสั่งของพ่อ รวมถึงการฝึกกล้ามเนื้อให้แข็งแกร่ง นั่นหมายความว่าความเร็ว พละกำลัง ความแข็งแกร่งที่มีทุกวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยพรสวรรค์ แต่เกิดจากพรแสวง

 

แต่นอกจากชื่อ Turbo Timo ยังมีอีกชื่อที่เหมาะไม่เบา นั่นคือ Candy Timo เพราะสมัยเด็กๆ แวร์เนอร์จะได้รางวัลจากพ่อเป็นลูกอมหากทำประตูได้ และนั่นทำให้เขาเสพติดกับการทำประตูอย่างมาก

 

เกมที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ในวันนี้จึงเป็นเกมที่มีความหมายพิเศษสำหรับเขา โดยเฉพาะหากทำประตูได้ (แม้ว่าพ่อจะไม่ให้ลูกอมแล้วก็ตาม) มันจะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าการตัดสินใจเลือกย้ายมาลอนดอนมากกว่าจะรอคอยความหวังกับลิเวอร์พูลไม่ใช่เรื่องที่ผิด

 

อย่างไรก็ดี ประตูในเกมที่เดอะบริดจ์ไม่ใช่เป้าหมายเดียวของเขาในเวลานี้

 

 

แวร์เนอร์มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก และเป้าหมายของเขาก็เป็นเป้าหมายเดียวกันกับเพื่อนนักฟุตบอล ผู้จัดการทีม ผู้บริหาร คนในวงการ หรือแม้แต่แฟนบอลอีกมากมายในการทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นด้วยการเสียสละเล็กๆ แต่มีความหมายยิ่งใหญ่

 

เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ลูกหนังคนล่าสุดที่เข้าร่วมโครงการ Common Goal ซึ่งจะแบ่งรายได้จำนวน 1% ให้กับองค์กรที่จะนำเงินนี้ไปช่วยเหลือมูลนิธิหรือองค์กรการกุศลต่างๆ ได้นำไปช่วยเหลือสังคมต่อไป

 

“ผมรู้สึกโชคดีอย่างมากที่ผมได้มีชีวิตที่เหมือนฝันในการเล่นให้กับเชลซีในพรีเมียร์ลีก” ดาวยิงจอมถล่มประตูกล่าว

 

“แต่ในเวลาเดียวกันผมก็รู้สึกตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่มีผู้คนอีกมากมายทั่วโลกที่กำลังลำบากในการรับมือกับโรคระบาดโควิด-19 ในเวลานี้ และนั่นทำให้ผมอยากจะช่วยเหลือให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ผ่าน Common Goal”

 

สำหรับโครงการ Common Goal ผู้บริจาคสามารถจะเลือกได้ว่าต้องการช่วยเหลือองค์กรใดหรือพื้นที่ใดเป็นพิเศษ ซึ่งแวร์เนอร์ขอเลือกช่วยเหลือสตุ๊ตการ์ต เมืองที่เขาเริ่มต้นเส้นทางอาชีพนักเตะ และไลป์ซิก เมืองที่ทำให้เขามีทุกวันนี้

 

1% ของรายได้ของเขาไม่ได้มากมายถึงขั้นจะเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ทันที

 

แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็เป็นการทำให้ทุกคนได้ตระหนักว่าโลกใบนี้ยังมีคนที่ลำบากอีกมาก และหากจะมีเพื่อนนักเตะหรือแม้แต่แฟนบอลคนไหนที่คิดว่าอยากจะร่วมแก้ไขปัญหาของโลกใบนี้ไปด้วยกันก็จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง

 

เพราะประตูนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อชัยชนะหรือการสะสมสถิติ

 

มันมีไว้เพื่อทำให้โลกใบนี้สวยงามขึ้น และเราควรจะช่วยกันทำประตูนี้

 

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

 

FYI
  • โครงการ Common Goal ก่อตั้งมาครบ 3 ปีแล้ว โดยหนึ่งในแกนนำคนแรกคือ ฆวน มาตา ซึ่งปัจจุบันสามารถระดมทุนได้ถึง 2.2 ล้านยูโร และนำเงินไปช่วยเหลือองค์กรต่างๆ ได้มากถึง 50 องค์กรใน 35 ประเทศ
  • สำหรับ 1% ของรายได้แวร์เนอร์ คาดว่าอยู่ที่ราว 1,700 ปอนด์ (จากจำนวนเต็ม 170,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์) โดยเงินจำนวนนี้จะถูกหักทุกเดือน
  • แวร์เนอร์เป็นผู้เล่นทีมชายคนแรกของเชลซีที่เข้าร่วม Common Goal หลังจากที่ทีมหญิงมี แม็กดา เอริกส์สัน และเพอร์นิลล์ ฮาร์เดอร์ ที่เข้าร่วมโครงการนี้อยู่ก่อนแล้ว
  • ในเกมพบลิเวอร์พูล แวร์เนอร์พร้อมลงสนามกับฮาเวิร์ตซ์ แต่ในรายของซิเยค, ชิลเวลล์ รวมถึงคริสเตียน พูลิซิช หมดสิทธิ์จะลงสนาม เพราะมีอาการบาดเจ็บ
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X