เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม เพจเฟซบุ๊กศูนย์สอบธรรมศาสตร์ ออกมาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริตการสอบเข้ารับราชการ พร้อมทั้งแสดงภาพอุปกรณ์ที่ใช้ในการโกงข้อสอบ
โดยผู้ดูแลเพจศูนย์สอบธรรมศาสตร์ชี้แจงถึงเจตนาในการเปิดเผยข้อมูลครั้งนี้ว่า ต้องการให้เป็นอุทาหรณ์ และแจ้งเตือนหน่วยงานที่จัดสอบให้เฝ้าระวัง เนื่องจากเชื่อว่าปัญหาการทุจริตสอบอาจระบาดไปในระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ไม่เป็นข่าวเพราะหน่วยงานเหล่านั้นอาจไม่ทันเทคโนโลยีของกลุ่มผู้ทุจริต
ศูนย์สอบธรรมศาสตร์ระบุว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเป็น ‘ศูนย์สอบที่จับทุจริตได้มากที่สุด’ โดยมีรายชื่อและเลขบัตรประชาชนของผู้ที่ทุจริต คาดว่าจะทุจริต หรือเป็นญาติพี่น้องกับผู้ทุจริตอยู่เป็นร้อยรายชื่อ ซึ่งถูกนำมาใช้ในการตรวจสอบและเฝ้าระวังในงานที่ธรรมศาสตร์เป็นผู้จัดสอบ
ศูนย์สอบธรรมศาสตร์ยอมรับว่ากำลังเผชิญกับการต่อสู้กับกระบวนการทุจริตการสอบเข้ารับราชการ แม้จะพบการทุจริตและส่งเรื่องให้หน่วยงานต่างๆ หรือแจ้งความดำเนินคดีเอง แต่ด้วยช่องโหว่ทางราชการและกฎหมาย ทำให้ผู้กระทำผิดหลุดรอดไปได้หลายราย
ทางศูนย์สอบจึงแสดงความคาดหวังว่า พรรคการเมืองหรือผู้แทนราษฎรจะช่วยเสนอหรือผลักดันกฎหมายเพื่อลงโทษผู้ทุจริตการโกงการสอบเข้ารับราชการให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อประโยชน์ของประชาชนคนธรรมดา
ศูนย์สอบธรรมศาสตร์ให้ข้อมูลว่า อาชีพข้าราชการยังคงเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ต้องการความมั่นคงในชีวิต ทำให้การสอบคัดเลือกมีการแข่งขันสูง และเป็นช่องทางให้กลุ่มอิทธิพลหรือบุคคลแสวงหาผลประโยชน์
การทุจริตการสอบราชการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่:
1. โจรภายใน: บุคคลที่แฝงตัวอยู่ในคณะผู้บริหารหรือกรรมการที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสอบ เช่น การออกข้อสอบ ตรวจข้อสอบ สัมภาษณ์ หรือประกาศผล
2. โจรภายนอก: บุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหน่วยงาน แต่ใช้วิธีการต่างๆ เพื่อช่วยให้ผู้สอบผ่าน โดยศูนย์สอบธรรมศาสตร์ระบุว่ากลุ่มนี้จับได้ไม่ยากหากหน่วยงานมีการป้องกันที่ดีและไม่ประมาท
ในอดีต การโกงสอบมักใช้วิธี ‘พ่อไก่แม่ไก่’ คือส่งคนเก่งเข้าไปทำข้อสอบแล้วส่งโพยคำตอบให้ลอก แต่ปัจจุบันวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลแล้วเนื่องจากข้อสอบมีหลายชุดและมีการกระจายผู้สอบ
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ขบวนการทุจริตได้พัฒนาไปสู่การใช้อุปกรณ์ส่งสัญญาณขนาดเล็ก ติดตั้งซิมโทรศัพท์โดยมีขนาดเล็กกว่ากล่องไม้ขีดไฟ และล่าสุดพัฒนาเป็นบัตรคล้ายบัตรเครดิตที่มีอุปกรณ์ติดซิมอยู่ภายใน อุปกรณ์เหล่านี้บางชนิดต้องต่อลวดเพื่อรับสัญญาณจากผู้ส่ง และผู้สอบจะฝังหูฟังขนาดเท่าเม็ดถั่วดำไว้ในหูทั้งสองข้าง ซึ่งเครื่องสแกนโลหะจะไม่สามารถตรวจจับได้ ส่วนกล่องหรือบัตรซิมมักถูกซ่อนไว้ในตำแหน่งที่เครื่องสแกนตรวจไม่พบ เช่น เป้ากางเกงหรือใต้หน้าอก
ขบวนการเหล่านี้จะใช้วิธีให้ ‘มือปืน’ หรือคนเก่งหลายคนเข้าไปนั่งสอบ รวบรวมข้อมูลและส่งคำตอบให้คนนอกห้องสอบ ซึ่งมักจะเช่าหอพักใกล้สนามสอบเพื่อสอนการใช้อุปกรณ์ให้ผู้สอบ บุคคลภายนอกจะรวบรวมข้อมูลจากมือปืนเพื่อทำโพยเฉลยชุดข้อสอบ และจะส่งสัญญาณคำตอบผ่านหูฟังในช่วง 45 นาทีสุดท้ายก่อนหมดเวลาสอบ โดยผู้สอบจะเคาะเพื่อขอสัญญาณ
แม้จะยอมรับว่าไม่สามารถตรวจจับอุปกรณ์ได้ทั้งหมด แต่ศูนย์สอบธรรมศาสตร์ใช้วิธีการตรวจจับจากผลเฉลยประกอบ โดยวิเคราะห์ความผิดปกติของข้อที่ตอบผิดตรงกันในกลุ่มผู้สอบที่มีความน่าจะเป็นต่ำมาก เช่น โอกาสที่ผู้สอบจะเลือกตอบผิดเหมือนกัน 18 ข้อคือ 1 ใน 68,179 ล้าน หรือผิดเหมือนกัน 15 ข้อจาก 18 ข้อคือ 1 ใน 3 ล้าน รวมถึงการตรวจสอบกระดาษคำตอบต้นฉบับเมื่อพบรอยพิรุธ
สำหรับกลุ่มที่มีหลักฐานชัดเจน ศูนย์สอบธรรมศาสตร์จะดำเนินการทางคดี ส่วนกลุ่มที่ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ แต่มีการวิเคราะห์ด้วย AI พบความผิดปกติ ทางศูนย์สอบจะไม่ประกาศผลสอบให้ และพร้อมสู้คดีด้วยหลักฐานอื่นๆ ที่ได้รวบรวมไว้ตลอด
อ้างอิง: