ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics คาดธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% กระทบต่อการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศ กดดันบาทอ่อนค่าต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2 ประเมินเงินบาทเดือนพฤษภาคมเคลื่อนไหวในกรอบ 34.20-34.80 บาทต่อดอลลาร์
ttb analytics คาดการณ์ว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% ในการประชุมเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศ สอดคล้องตามคาดการณ์ของตลาดการเงินและนักลงทุน โดยการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนพฤษภาคมนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2006 ที่ Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องติดต่อกันในสองการประชุม ยิ่งไปกว่านั้นหากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% จะถือเป็นการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากที่สุดในรอบ 22 ปีนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2000 ที่เป็นครั้งสุดท้ายที่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5%
ในช่วงตลอดเดือนเมษายนที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะสั้นอายุ 3 เดือน ปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 0.85% เป็นการเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นเดือนมีนาคม ยิ่งไปกว่านั้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ระยะยาวอายุ 10 ปี ได้ปรับตัวทะลุ 3% ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม สะท้อนภาพความคาดหวังถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของตลาดการเงิน
อย่างไรก็ตาม ttb analytics ประเมินว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ตลอดทั้งปี 2022 โดยให้ความสำคัญต่อทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ที่ยังเผชิญกับความเสี่ยงด้านการบริโภคที่ลดลงจากผลของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันประเทศไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านการผลิตจากต้นทุนวัตถุดิบสินค้าที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิดในประเทศจีน อาจส่งผลให้การนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างประเทศจีนเกิดความยากลำบากเพิ่มมากขึ้น ทำให้ส่งกระทบต่อเนื่องไปยังระบบซัพพลายเชนภายในประเทศ
ทั้งนี้ การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยไว้ที่ระดับเดิมตลอดทั้งปีนี้ จะส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ แตกต่างกันมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหากอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ปรับตัวสู่ระดับ 2.25-2.50% ณ สิ้นปี 2022 จะส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยกับสหรัฐฯ อยู่ที่ 1.75- 2.00% ซึ่งถือเป็นสถิติอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แตกต่างกันมากสุดในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ของปี 2007
จากการที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในระดับสูง ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มสูงขึ้นในสหรัฐฯ ทำให้การลงทุนในตลาดการเงินสหรัฐฯ มีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น ก่อให้เกิดการไหลออกของเงินทุนจากภูมิภาคเอเชีย โดยเบื้องต้นเดือนเมษายน 2022 มีเงินลงทุนไหลออกจากภูมิภาคเอเชียกว่า 9.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การไหลออกของเม็ดเงินลงทุนจากภูมิภาคเอเชียเข้าสู่สหรัฐฯ ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเพิ่มขึ้น ในขณะที่ค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชียอ่อนค่าอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับเดือนเมษายนที่ผ่านมา การแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐส่งผลให้สกุลเงินหลักในเอเชียปรับตัวอ่อนค่าลง โดยสกุลเงินเยนของญี่ปุ่นทำสถิติอ่อนค่าสูงสุด โดยอ่อนค่าลง 5.5% จากเดือนมีนาคม สำหรับค่าเงินบาทไทย ปรับตัวอ่อนค่าลง 3.0% จากเดือนมีนาคม โดย ณ สิ้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 34.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 33.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ถือเป็นการอ่อนค่าของเงินบาทในรอบเดือนมากที่สุดตลอดระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2018
โดยสรุป ttb analytics ได้ประเมินกรอบค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ไว้ที่ 34.20-34.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ตามการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ภายหลังการประชุม Fed จากความคาดหวังของตลาดต่อการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนมิถุนายน
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP