×

ttb analytics เผยลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากทำเศรษฐีเงินล้านแห่แตกบัญชี คาดสภาพคล่องล้นอาจกดดอกเบี้ยแคมเปญพิเศษต่ำยาวถึงต้นปีหน้า

18.10.2021
  • LOADING...
วงเงินคุ้มครองเงินฝาก

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb analytics) เปิดเผยข้อมูลการโยกย้ายเงินฝากของผู้ฝากรายย่อยในประเทศไทย ภายหลังจากที่สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) ปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากจาก 5 ล้านบาทต่อบัญชีต่อสถาบันการเงิน ลงมาอยู่ที่ 1 ล้านบาทต่อบัญชีต่อสถาบันการเงิน เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยพบว่าในเดือนสิงหาคมได้เกิดการโยกย้ายเงินฝากจากบัญชีเงินฝากรายย่อยที่มีเงินฝากสูงกว่า 1 ล้านบาท ไปยังบัญชีที่มีเงินฝากต่ำกว่า 1 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วง 4-5 เดือนก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ

 

“เราพบว่าในเดือนสิงหาคมเดือนเดียวมีเงินฝากรายย่อยจากบัญชีเงินฝากที่มีเงินสูงกว่า 1 ล้านบาท ไหลออก 4.17 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเดือนก่อนหน้าที่มีบัญชีเงินฝากเกิน 1  ล้านบาท ไหลออกเพียงแค่ 3.2 พันล้านบาทหลายเท่าตัว และหากมองย้อนหลังไปถึงเดือนมีนาคม จะพบว่าบัญชีเงินฝากเกิน 1 ล้านบาท มีการเติบโตเฉลี่ยถึงเดือนละ 5 หมื่นล้านบาท ในทางกลับกัน เราก็พบว่าบัญชีเงินฝากที่มีเงินต่ำกว่า 1 ล้านบาท ในเดือนสิงหาคมก็มีการขยายตัวขึ้นเกือบ 5 หมื่นล้านบาท เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่มีเงินฝากไหลเข้าเพียง 7.3 พันล้านบาท” นริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบีระบุ

 

นริศกล่าวว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นผลมาจากพฤติกรรมของผู้ฝากเงินที่เปลี่ยนไป มีการแตกบัญชีมากขึ้น หลัง สคฝ. ประกาศลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือบัญชีละ 1 ล้านบาท 

 

อย่างไรก็ดี เชื่อว่าการโยกย้ายเงินฝากและแตกบัญชีของผู้ฝากเงินที่เกิดขึ้นจะเป็นภาวะชั่วคราวที่เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมเท่านั้น โดยภาวะเงินฝากในเดือนกันยายนและตุลาคมน่าจะปรับตัวกลับสู่ภาวะปกติ เนื่องจากผู้ฝากเงินที่มีเงินฝากเกิน 1 ล้านบาทได้ปรับตัวไปแล้วเป็นส่วนใหญ่

 

หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบีระบุอีกว่า ข้อมูลภาพรวมเงินฝากทั้งระบบในปัจจุบันที่มีอยู่สูงถึง 14.88 ล้านบาท สะท้อนถึงสภาพคล่องที่ล้นระบบ โดยนับจากต้นปีที่ผ่านมาเงินฝากในระบบมีการเติบโตขึ้น 3% ขณะที่สินเชื่อขยายตัวได้เพียง 2% ทำให้อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินฝาก หรือ LTD ของทั้งระบบลดต่ำลงมาอยู่ที่ 93% เทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิดที่ LTD จะอยู่ที่ 97-98% มาอย่างต่อเนื่อง

 

“เงินฝากที่ล้นระบบในเวลานี้เป็นผลสืบเนื่องมาตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่คนกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโควิดกันมากจนแห่เอาเงินออกจากตลาดหุ้นและกองทุนรวมมากขึ้น 7 แสนล้านบาท ซึ่งจำนวนนี้ไหลเข้ามายังเงินฝากและยังไม่ไหลกลับไป เนื่องจากคนยังกังวลกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่สูงและหลากหลาย ทั้งในเรื่องราคาน้ำมัน ปัญหาอสังหาริมทรัพย์ในจีน และโอกาสที่จะเกิด Stagflation ทำให้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หรือ Risk Appetite ของคนยังอยู่ในระดับต่ำและเลือกที่จะกำเงินสดเอาไว้ก่อน” นริศกล่าว

 

นริศระบุอีกว่า สภาพคล่องที่ยังค้างอยู่ในธนาคารพาณิชย์เป็นจำนวนมากเช่นนี้น่าจะกดดันให้ดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งรวมถึงเงินฝากพิเศษต่างๆ อยู่ในระดับต่ำไปจนถึงต้นปีหน้าเป็นอย่างน้อย โดยเชื่อว่าหากเรื่องการถอน QE ของสหรัฐฯ และวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของจีนมีความชัดเจนขึ้น ก็จะช่วยให้ Risk Appetite ของคนเพิ่มขึ้น กล้าเอาเงินกลับไปใส่ตลาดทุนและกองทุนอีกครั้ง

 

“สถานการณ์เงินฝากในตอนนี้สะท้อนถึงความกังวลของคนต่อภาวะเศรษฐกิจที่สูง เพราะนอกจากการโยกเงินจากตลาดหุ้นและกองทุนมาอยู่ในเงินฝากแล้ว เรายังเห็นการโยกเงินฝากประจำมาเป็นเงินฝากออมทรัพย์ซึ่งดอกเบี้ยต่ำมากขึ้นด้วย โดยปัจจุบัน 70% ของเงินฝากรายย่อยของไทยเป็นบัญชีออมทรัพย์” นริศกล่าว

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising