ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินว่า ในปี 2566 ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยมีแนวโน้มกลับมาเกินดุลราว 3.5 พันล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 0.7% ต่อ GDP จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ดีกว่าที่คาดไว้ รวมถึงการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนที่เร็วกว่าที่ประเมิน พร้อมกับเงินทุนเคลื่อนย้ายจากต่างชาติก็ไหลเข้าตลาดการเงินไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่าเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้นปี โดย ณ สิ้นปี 2566 คาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.0-33.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
คาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยกลับมาเกินดุลจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว แม้เสี่ยงขาดดุลการค้าจากการส่งออกชะลอตัว
ttb analytics มองว่า ส่งออกไทยเริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมาและต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ โดยประเมินว่ามูลค่าการส่งออกปี 2566 ในรูปของฐานระบบศุลกากรจะขยายตัว 0.5% (ช่วงประมาณการ 0-1%) ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลของฐานที่สูงขึ้นในปี 2565 ประกอบกับปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักเริ่มแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรวมกันสูงกว่า 25.9% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด
ขณะเดียวกันห่วงโซ่การผลิตในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมขั้นต้นและกลางของไทยที่ส่งออกไปตลาดจีน ก็ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากคำสั่งซื้อที่ลดลง ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกในหมวดสินค้าอุตสาหกรรม สินค้าฟุ่มเฟือย ตลอดจนอุปกรณ์ไอทีที่ชะลอลงตามวัฏจักรขาลงของตลาดโลก
นอกจากนี้มูลค่านำเข้าที่คาดว่าจะทรงตัวในระดับสูงก็อาจกดดันดุลการค้าเพิ่มเติม จากมูลค่านำเข้าสินค้าหมวดเชื้อเพลิงของไทยที่เพิ่มขึ้น แน่นอนว่าจะกระทบกับประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปและสินค้าเชื้อเพลิงเป็นหลัก
ในส่วนของดุลบริการคาดว่ามีแนวโน้มดีขึ้นอย่างมีนัยจากรายรับด้านการบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยเฉพาะการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนจากการผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้า-ออกประเทศที่เร็วกว่าคาด ซึ่งเป็นแรงหนุนสำคัญที่ช่วยให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้นจาก 11.2 ล้านคนในปี 2565 เป็น 29.5 ล้านคนในปี 2566 (เมื่อเทียบกับประมาณการเดิมที่ 22.4 ล้านคน)
นอกจากนี้ด้านรายจ่ายการบริการก็มีแนวโน้มลดลงตามต้นทุนค่าระวางขนส่งสินค้าทางเรือในตลาดโลกที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจนเริ่มกลับเข้าสู่ระดับปกติ ทำให้ ttb analytics ประเมินว่าดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2566 จะพลิกกลับมาเกินดุลราว 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 0.7% ต่อ GDP ซึ่งเป็นการกลับมาเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นครั้งแรกหลังขาดดุลต่อเนื่องในปี 2564-2565 ที่ราว 1.1 และ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ
ปี 2566 ปีแห่งความไม่แน่นอนของตลาดการเงินทั่วโลก
ตลอดทั้งปี 2565 นักลงทุนทั่วโลกต่างกังวลต่อเศรษฐกิจถดถอยจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ทำให้เห็นการเทขายสินทรัพย์ลงทุนทั้งตราสารหนี้และตราสารทุน กดดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงไปไม่ต่ำกว่า 10% เช่นเดียวกับเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการเร่งปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จนทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 16 ปี โดยอยู่ที่ 38.31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรืออ่อนค่าลงกว่า 14.7% เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2564 (YTD)
สำหรับปี 2566 ตลาดเริ่มกลับมาส่งสัญญาณเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง หลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกส่วนใหญ่กลับมาเป็นปกติ อัตราเงินเฟ้อในประเทศหลักผ่อนคลายขึ้น อานิสงส์เชิงบวกต่อเศรษฐกิจและการค้าโลกที่คลายมาตรการล็อกดาวน์ของจีน รวมถึงภาวะอุปทานตึงตัวคลี่คลายลง ซึ่งเห็นได้จากเงินดอลลาร์สหรัฐที่กลับมาอ่อนค่าอย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้นปีแตะระดับ 2.2% (YTD) รวมไปถึงสินทรัพย์เสี่ยงหลายประเภทก็เริ่มกลับมาเป็นบวกถ้วนหน้า
อย่างไรก็ดี ตลาดการเงินทั่วโลกในระยะต่อไปยังมีความไม่แน่นอนสูงและต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ต้องติดตามในหลายภูมิภาค เช่น สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน รวมไปถึงการยกระดับมาตรการกีดกันทางการค้าต่างๆ ที่อาจกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวนมากขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ค่อนข้างเปราะบาง
นอกจากนี้ตลาดการเงินไทยในช่วงที่ผ่านมายังเจอกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายที่เข้ามาพักเงินรอจังหวะ เห็นได้จากเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดตราสารหนี้สะสมสุทธิตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2565 – 31 มกราคม 2566 สูงถึง 6.3 หมื่นล้านบาท กดดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุ 10 ปีของไทย ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจนต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด
เช่นเดียวกับการแสวงโอกาสทำกำไรในตลาดหุ้นไทยจากเงินบาทที่แข็งค่า (FX-Gain) ส่งผลให้ราคาต่อกำไรล่วงหน้า (Forward P/E) ของ SET Index ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 สูงถึง 16.1 เท่า เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์เอเชียที่ระดับ 12.2 เท่า
ttb analytics จึงประเมินว่า ความคาดหวังของตลาดต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทย รวมถึงการกลับมาเกินดุลบัญชีเดินสะพัดตามรายรับจากการท่องเที่ยว อาจส่งผลให้นักลงทุนยังคงกล้าเสี่ยงซื้อ-ขายในตลาดระดับราคาต่อหุ้น (P/E) ที่แพงขึ้น เช่นเดียวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามการทยอยขึ้นดอกเบี้ยของตลาดประเทศเกิดใหม่รวมถึงไทยที่ล่าช้า (Backload) กว่าตลาดประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้น่าจะเห็นเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้าตลาดเพิ่มเติม หนุนค่าเงินบาท ณ สิ้นปี 2566 มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบแข็งค่าราว 32.0-33.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้มีแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นและเงินบาทแข็งค่า ส่งผลให้ทั้งปีนี้ตลาดการเงินไทยมีความผันผวนมากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ธนาคารออมสิน เปิดตัวเงินฝากดอกเบี้ยขั้นบันได จ่ายสูงสุด 4.5% และ 10% หวังส่งเสริมการออมระยะยาว
- ส่องแบงก์รัฐ-พาณิชย์ ขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ เท่าไรกันบ้าง? หลัง กนง. ประชุมนัดแรกของปี 2566
- คลอดแล้ว! เกณฑ์ ‘Virtual Bank’ ธปท. จำกัดไลเซนส์แค่ 3 ราย เผยมีผู้สนใจแล้ว 10 ราย เล็งประกาศผลกลางปีหน้าก่อนเริ่มให้บริการจริงปี 68