×

ttb analytics คาดยอดขายรถยนต์ปี 2565 กลับสู่ภาวะปกติที่ 8.7 แสนคัน เชื่อรถยนต์ไฟฟ้าเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น

30.11.2021
  • LOADING...
ttb analytics

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2564 อยู่ที่ 7.65 แสนคัน ลดลง 3.3% จากปีก่อน โดยปัจจัยฉุดรั้งมาจากการระบาดของโรคโควิดและกำลังซื้อที่ชะลอตัว พร้อมคาดว่าในปี 2565 ยอดขายจะทยอยกลับมาสู่ระดับปกติ 8.7 แสนคัน หลังประชากรได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง และอายุเฉลี่ยรถยนต์บนท้องถนนเพิ่มขึ้น ชี้รถยนต์ไฟฟ้าประเภท Hybrid เป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น

 

ปัจจุบันยอดขายรถยนต์ในประเทศได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวลง และยอดขายรถยนต์ในประเทศสะสมเดือนมกราคม-ตุลาคม 2564 อยู่ที่ 596,325 คัน หดตัวลง 2.1% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 โดยรถยนต์เชิงพาณิชย์หดตัวลง 2.7% อยู่ที่  336,936 คันและรถยนต์นั่งหดตัวลง 1.2% อยู่ที่ 259,389 คัน โดย ttb analytics คาดว่าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2564 นี้ ยอดขายรถยนต์จะเริ่มมีการทยอยฟื้นตัวดีขึ้นภายหลังการคลายล็อกดาวน์ในพื้นที่ต่างๆ ประกอบกับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดเริ่มทั่วถึงทั้งประเทศ และการกระตุ้นยอดขายจากงาน Motor Expo ช่วงสิ้นปี ทำให้คาดว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2564 จะอยู่ที่ 7.65 แสนคัน ซึ่งหดตัวลง 3.3%

 

เมื่อเจาะลึกเชิงพื้นที่โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลรถยนต์จดทะเบียนใหม่พบว่าในช่วง 10 เดือนสะสมของปี 2564 ภูมิภาคที่ยอดจดทะเบียนรถใหม่ยังขยายตัว ได้แก่ ภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคอีสาน โดยขยายตัว 3.1% 1.5% และ 0.3% ตามลำดับ ซึ่งการเติบโตมาจากรถยนต์เชิงพาณิชย์เป็นหลัก (เครื่องยนต์ดีเซล) เนื่องจากเศรษฐกิจพึ่งพาภาคเกษตรเป็นหลัก และในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ราคาสินค้าเกษตรเฉลี่ยปรับตัวดีขึ้น ทำให้ผู้บริโภคในพื้นที่มีกำลังซื้อรถยนต์เพื่อใช้ประกอบกิจการ

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับพื้นที่หลักที่มียอดขายรถยนต์ใหม่สูง ได้แก่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคกลาง พบว่า หดตัว 7.8% 4.7% และ 3.8% ตามลำดับ เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้พึ่งพิงเศรษฐกิจในภาคการค้า และภาคบริการเป็นหลัก ซึ่งได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะงักงันในช่วงไตรมาส 2-3 ของปี 2564 และทำให้ยอดขายรถยนต์ในพื้นที่ลดลงค่อนข้างมาก 

 

นอกจากนี้หากพิจารณายอดจดทะเบียนรถใหม่ แม้ว่าภาพรวมรถยนต์นั่งและรถยนต์เชิงพาณิชย์จะลดลง แต่ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า 10 เดือนของปี 2564 มียอดสะสมรวมกว่า 35,501 คัน แบ่งเป็นสัดส่วนรถไฟฟ้าประเภท Hybrid 95% และเป็นรถไฟฟ้าประเภทใช้แบตเตอรี่ BEV 5% ขยายตัว 40% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 โดยมีการเติบโตอย่างมากในทุกภูมิภาค ชี้ให้เห็นถึงความต้องการรถยนต์ที่มีความทันสมัยและประหยัดพลังงาน ซึ่งมาจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่อยู่จากตลาดกลางถึงบน

 

ทั้งนี้ ttb analytics คาดว่าแนวโน้มยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2565 จะทยอยฟื้นตัวกลับเข้าสู่ระดับปกติอยู่ที่ 8.7 แสนคัน หรือขยายตัว 13.8% แบ่งเป็นรถยนต์เชิงพาณิชย์ขยายตัว 17.6% และรถยนต์นั่งขยายตัว 8.8% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก 

 

  1. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ โดยคาดว่าการบริโภคและการลงทุนเอกชนจะขยายตัว 4.2% และ 5.2% ตามลำดับ

 

  1. การส่งออกคาดว่าจะขยายตัว 4.5% ตามเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว 

 

  1. ดอกเบี้ยในประเทศทรงตัวอยู่ในระดับต่ำทั้งปี 

 

  1. อายุรถยนต์เฉลี่ยบนท้องถนนที่สูง ทำให้เกิดความต้องการเปลี่ยนรถยนต์ใหม่ (รถยนต์เชิงพาณิชย์และรถยนต์นั่ง อายุเฉลี่ย 12.3 และ 9.7 ปี)  

 

  1. เทคโนโลยีรถยนต์ใหม่ๆ ที่ค่ายรถยนต์นำเสนอต่อผู้บริโภค เช่น ระบบประหยัดพลังงาน ระบบการขับขี่ด้วยความปลอดภัย ระบบการถอยจอดอัตโนมัติ รวมถึงรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ทั้ง Hybrid และ BEV ฯลฯ ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลทำให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในปี 2565

 

สำหรับแนวโน้มยอดขายปี 2565 เชิงพื้นที่ ประเมินว่าในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคกลาง จะทยอยปรับตัวดีขึ้นกว่าปี 2564 เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งภาคการค้า ภาคบริการ และภาคอุตสาหกรรมกลับมาดำเนินกิจการได้ดังเดิม จากการผ่อนคลายการล็อกดาวน์ข้อจำกัดการเดินทางและการทำกิจกรรมของประชาชน ประกอบกับการเรียนรู้ของผู้ประกอบการและประชาชนที่จะอยู่ร่วมกับการระบาดของโรคโควิดอย่างปลอดภัย

 

อย่างไรก็ดี ในปี 2565 มีสัญญาณความเสี่ยงด้านราคาสินค้าเกษตรที่ลดลง โดยเฉพาะข้าว ทำให้คาดว่าในพื้นที่เพาะปลูกข้าว ได้แก่ ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสาน อาจได้รับผลกระทบกำลังซื้อ ทำให้ยอดขายในพื้นที่ดังกล่าวลดลงได้

 

ด้านความเสี่ยงภาพใหญ่ของอุตสาหกรรมรถยนต์ในปี 2565 ที่สำคัญ ได้แก่ 

 

  1. การแพร่ระบาดของโรคโควิดสายพันธุ์ใหม่โอไมครอน หากเข้ามาระบาดในประเทศ อาจส่งผลทำให้เกิดการล็อกดาวน์อีกครั้ง

 

  1. ภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวไม่เต็มที่ โดยยังคงพึ่งพิงนักท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก

 

  1. หนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงกว่า 93% ต่อ GDP

 

  1. การขาดแคลนชิป เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งจะส่งผลต่อยอดการผลิตรถยนต์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ได้

 

  1. ความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เนื่องจากต้องการควบคุมหนี้เสียในช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา นับเป็นปัจจัยท้าทายที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X