ภาพของ มิเกล อาร์เตตา ที่วิ่งฉลองประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของ เลอันโดร ทรอสซาร์ด ไปจนถึงโมเมนต์ระหว่าง มาร์ติน โอเดการ์ ที่ขอสลับบทถ่ายภาพตากล้องประจำสโมสร โดยมีเหล่ากูนเนอร์สเป็นฉากหลังเมื่อจบเกมที่เอมิเรตส์สเตเดียมที่ผ่านมา กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอยู่บ้าง
นักวิเคราะห์อย่าง เจมี คาร์ราเกอร์, แกรี เนวิลล์ และ ริโอ เฟอร์ดินานด์ มองว่า อาการ ‘สุขล้น’ ของอาร์เตตา นักเตะ และแฟนบอลอาร์เซนอล ถือว่า ‘เกินเบอร์’ ไปมาก
ผู้จัดการทีมชาวสเปนถึงขั้นทำท่า ‘ชกลม’ (Fist Pump) ที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของ เจอร์เกน คล็อปป์ เลยทีเดียว
“ชนะแล้วก็เดินกลับเข้าห้องแต่งตัวไปสิ”
“นี่แค่เกมเดียวไม่ได้แปลว่าจะได้แชมป์”
อย่างไรก็ดี หากมองในมุมของอาร์เซนอลแล้วก็จะเข้าใจได้ถึงความสำคัญของชัยชนะในเกมนี้
รวมถึงวิธีการที่ทำให้พวกเขาได้มาซึ่งชัยชนะด้วย
ในวันที่อาร์เตตาเข้ามารับงานคุมทีมกันเนอร์สต่อจากอูไน เอเมรี ในเดือนธันวาคม 2019 หากมีใครบอกในเวลานั้นว่า ผู้จัดการทีมหน้าใหม่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการคุมทีมใหญ่มาก่อน จะสามารถเปลี่ยนแปลงอาร์เซนอลให้กลายเป็นทีมในระดับลุ้นแชมป์ (Title Contender) อาจจะถูกมองด้วยสายตาที่ไม่ดีได้
เพราะอาร์เซนอลในเวลานั้นเต็มไปด้วยปัญหาไปเสียแทบทุกจุด ทีมขาดพลัง ไม่มีความเชื่อ มีสตาร์ที่เล่นไม่คุ้มค่าเหนื่อย ไปจนถึงนักเตะที่ดีไม่พอสำหรับทีมที่เคยยิ่งใหญ่อย่างอาร์เซนอล
แต่สิ่งที่ได้เห็นในเกมที่เอมิเรตส์สเตเดียมเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา วันนี้นักเตะอาร์เซนอลพิสูจน์ตัวเองแล้วว่า พวกเขาดีพอที่จะสยบทีมที่แข็งแกร่งอย่างลิเวอร์พูลลงได้แบบไร้ซึ่งคำถาม เพราะทุกอย่างมันชัดเจนตั้งแต่นาทีแรกจนนาทีสุดท้าย
นักเตะปืนใหญ่แสดงให้เห็นไม่เพียงแค่เรื่องของคุณภาพของทีมที่แกร่งทั่วแผ่น แต่พวกเขาแสดงให้เห็นถึงทีมเวิร์กที่เหนือกว่า แผนการที่ดีกว่า และสำคัญที่สุดคือเรื่องของลูกล่อลูกชนและหัวจิตหัวใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเขาถูกตั้งคำถามมาตลอด 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา
กระดูกยังแข็งไม่พอหรอก ยังเคี่ยวกรำไม่พอ ใจไม่ได้หรอก คือสิ่งที่อาร์เซนอลเจอมาโดยตลอด
แต่ในฤดูกาลนี้พวกเขาจัดการแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้แล้วที่สนามแห่งนี้
และเมื่อคืนนี้พวกเขาจัดการลิเวอร์พูลได้เหมือนกัน
ในระบบลีกของเกมฟุตบอล ในแต่ละนัดไม่ว่าจะชนะใครด้วยสกอร์สักเท่าไร ในเรื่องทางโลกถือว่าก็ได้ 3 คะแนนเท่ากันและเท่านั้น
แต่ในเรื่องทางใจแล้ว คนที่เข้าใจเกมฟุตบอลดีจะเข้าใจว่าชัยชนะในเกมใหญ่แบบนี้มันมีความหมายมากแค่ไหน
จริงอยู่ที่ลิเวอร์พูลมาในสภาพที่ไม่พร้อมสรรพนัก พวกเขาต้องขาดนักเตะที่กำลังทำผลงานได้ดีและมีความสำคัญมากในระบบการเล่นไป 3 คนจากทีมตัวจริง เมื่อ คอเนอร์ แบรดลีย์ แบ็กขวาดาวรุ่ง ได้รับข่าวร้ายการจากไปของ คุณพ่อโจ แบรดลีย์ ก่อนเกมเพียงแค่ 2 วัน ขณะที่ โดมินิก โซโบสไล กองกลางตัวเดินเกมคนสำคัญ มีอาการบาดเจ็บ ซ้ำยังไม่มีชื่อด้วยอีกคน ส่วน ดาร์วิน นูนเญซ มีอาการบาดเจ็บจากเกมกับเชลซี ไม่พร้อมสำหรับการลงตัวจริง
อย่าลืมชื่อของ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ที่บาดเจ็บ ไปจนถึง วาตารุ เอนโดะ ที่เพิ่งเดินทางกลับจากภารกิจรับใช้ทีมชาติญี่ปุ่นในรายการเอเชียนคัพ
ถ้าเป็นการลงสนามเจอทีมอื่นทั่วไป ขุมกำลังที่เหลือของลิเวอร์พูลน่าจะดีพอให้พวกเขาเอาชนะคู่แข่งได้ หรืออย่างน้อยเอาตัวรอดได้เหมือนที่ได้เห็นมาตลอดทั้งฤดูกาลใ นการเป็นทีมที่พลิกสถานการณ์กลับมาคว้าผลการแข่งขันที่ดีได้มากที่สุด
แต่ไม่ใช่สำหรับอาร์เซนอล โดยเฉพาะในวันที่เหล่ากันเนอร์สตั้งตารอโอกาสจะล้างตา
อาร์เตตาไม่ได้เปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือแผนการเล่นอะไรเป็นพิเศษ พวกเขายังเป็นฝ่ายที่สามารถ ‘ตรึง’ ลิเวอร์พูลได้เหมือนเดิมด้วยตาข่ายล่องหนที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้
ตาข่ายที่ว่าคือการเพรสซิ่งสูงที่กดไม่ให้ลิเวอร์พูลโงหัวขึ้นได้เด็ดขาด ซึ่งกลายเป็นปัญหาของลิเวอร์พูลแสดงออกให้เห็นตั้งแต่ต้นเกมโดยที่ยังหาทางแก้ลำไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นการพบกันครั้งที่ 3 ในรอบระยะเวลาห่างกันแค่ไม่ถึง 2 เดือน (2 พรีเมียร์ลีก และ 1 เอฟเอคัพ)
เมื่อบวกกับการที่ทีมของคล็อปป์ดูขาด ‘พลัง’ ที่พวกเขาแสดงให้เห็นอย่างล้นเหลือในช่วงที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลจึงตกเป็นรองตลอดในครึ่งเวลาแรก
ขณะที่อาร์เซนอลเล่นแบบเดิม แต่เพิ่มเติมคือวิธีการเข้าทำที่มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ด้วยการใช้การเปิดบอลแบบไดเรกต์ทิ้งไปยังพื้นที่ฮาล์ฟสเปซ ที่เป็นจุดเกรงใจของบรรดาแนวรับลิเวอร์พูล โดยมีความเร็วและเทคนิคจัดจ้านของ กาเบรียล มาร์ติเนลลี เล่นงานตรง ‘กล่องดวงใจ’ ของผู้มาเยือนจากเมอร์ซีย์ไซด์เข้าอย่างจังในพื้นที่หลังแบ็กขวาที่เป็นความรับผิดชอบของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
ในช่วงหลายนัดที่ผ่านมา พื้นที่ตรงนี้เป็นงานของแบรดลีย์ ไอ้หนูดาวรุ่งวัย 20 ปีที่เป็นฟูลแบ็กธรรมชาติที่เล่นเกมรับได้อย่างยอดเยี่ยม มีทั้งความเร็ว ความแข็งแกร่ง และรูปร่าง ซึ่งช่วยงานของ อิบราฮิมา โคนาเต ได้เป็นอย่างดี แต่ในเกมนี้เมื่อเปลี่ยนเป็นแบ็กที่มีจุดอ่อนเรื่องเกมรับอย่างอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทำให้มาร์ติเนลลีลูบปากเบาๆ
ประตูขึ้นนำของอาร์เซนอลก็เริ่มจากการที่เทรนต์ไม่ได้ตามมาร์ติเนลลี ทำให้โคนาเตพะวงกับกองหน้าชาวบราซิล เปิดพื้นที่ให้ ไค ฮาเวิร์ตซ์ ที่ขยับหาช่องได้ยอดเยี่ยม และต้องชมโอเดการ์ดที่เปิดด้วยน้ำหนักที่สุดยอดจนได้หลุดเข้าไป แม้จะยิงไม่ผ่าน อลิสสัน เบ็คเกอร์ แต่ก็ยังมี บูกาโย ซากา ซ้ำดาบสองให้
หลังจากนั้นแผนของอาร์เซนอลคือการหยุดเพรสซิ่งหนัก เพราะพวกเขาไม่สามารถจะเล่นแบบนั้นได้ทั้งเกม แต่เปลี่ยนมาเป็นแพ็กเกม ปล่อยให้ลิเวอร์พูลครองบอลได้ แต่ไม่ปล่อยให้สร้างโอกาสได้
ความผิดพลาดครั้งเดียวคือการที่ วิลเลียม ซาลิบา ประมาทเกินไปจนทำให้ หลุยส์ ดิอาซ ชิงบอลได้ในกรอบ 6 หลา ก่อนลูกสะกิดแบบไม่คิดอะไรจะโดนแขนของ กาเบรียล มาร์กัลเญส เข้าไปเป็นประตูตีเสมอ 1-1
ในสถานการณ์แบบนี้เป็นเรื่องที่คาดได้ว่าอาร์เซนอลจะเสียหลัก และอาจถึงขั้นโดนลิเวอร์พูลเล่นงานได้ ซึ่งเกมในช่วงต้นครึ่งหลังก็ส่อเค้าแบบนั้นจริงๆ เมื่อนักเตะหงส์แดงเหยียบคันเร่งหวังยิงแซงให้ได้โดยเร็วที่สุดในระหว่างที่คู่แข่งยังตั้งตัวไม่ถูก
จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดมาเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ที่ปล่อยลูกเปิดยาวของมาร์กัลเญสมาให้มาร์ติเนลลีข้ามหัวไปโดยไม่ยอมขึ้นโหม่งตั้งแต่แรก และมาพลาดท่าในจังหวะชิงเหลี่ยมปะทะกันด้วยพละกำลังที่อัดสตาร์แซมบ้าไม่ลง ซ้ำยังเสียหลักไปรบกวนอลิสสัน ซึ่งก็ทะเลอทะล่าออกมาหมายเตะบอลทิ้งเหมือนกัน
สุดท้ายเมื่ออลิสสันจั่ววืด เกมก็เข้าทางอาร์เซนอลทั้งหมดทันที
เพราะคราวนี้ทีมของอาร์เตตารู้แล้วว่าพวกเขาจะพลาดแบบเดิมไม่ได้อีกเด็ดขาด เกมรับถอนลงไปแพ็กกันแน่น ซึ่งไม่เพียงแค่เรื่องของทีมเวิร์ก ความเข้าใจเกม กันเนอร์สยังมีวินัยที่ยอดเยี่ยม
พวกเขาสู้เพราะรู้ว่าชัยชนะเกมนี้ไม่ได้มีความหมายแค่ 3 คะแนน แต่มันคือการจุดประกายความหวังของทีมให้กลับสู่เส้นทางของการลุ้นแชมป์อีกครั้ง ซึ่งสิ่งนี้มีความหมายอย่างมากสำหรับช่วงที่เหลือของฤดูกาล
ระหว่างการโดนลิเวอร์พูลทิ้งเป็น 8 แต้ม กับไล่ตามเหลือ 2 คะแนน มันเป็นความรู้สึกเหมือนโลกคนละใบ
และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้อาร์เตตาวิ่งฉลองประตูของทรอสซาร์ดอย่างสุดสะใจ ไปจนถึงการใช้กำปั้นอัปเปอร์คัตให้แฟนอาร์เซนอล รวมถึงการที่โอเดการ์ดถ่ายภาพตากล้องให้เป็นที่ระลึก
ขณะที่กูนเนอร์สประกาศศักดาหน้าสนามเอมิเรตส์อย่างมั่นใจ “พวกเราจะคว้าแชมป์ได้แน่”
‘Trust the Process’ ได้พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าพวกเขาก้าวไปอีกขั้นแล้ว และมันก็มีเหตุผลให้เชื่อเช่นนั้น
ในความเป็นจริงฤดูกาลยังเหลือเส้นทางอีกค่อนข้างไกล ยังมีจุดพลิกผันที่พร้อมจะเกิดขึ้นได้ตลอด โดยเฉพาะมีปัจจัยเรื่องของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รวมถึงเรื่องอาการบาดเจ็บและความอ่อนล้าของผู้เล่นที่จะกลับมาในช่วงหลังจากนี้ ซึ่งอาร์เตตาถูกวิพากษ์ว่าบริหารจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ไม่ค่อยดีนัก แต่โชคดีที่ไม่ค่อยมีปัญหาตัวผู้เล่นบาดเจ็บ
อย่าลืมว่ายังมีแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ตอนนี้กลับมาเข้าฟอร์ม ‘ลาสต์บอส’ อีกครั้ง หลังได้ เควิน เดอ บรอยน์ และ เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ กลับมา และลิเวอร์พูลก็ไม่ใช่ทีมที่ล้มแล้วไม่เคยลุกเสียเมื่อไร
แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคต เอียน ไรต์ ตำนานกันเนอร์ส ไม่เห็นด้วยกับการที่ใครต่อใครออกมาท้วงติงเรื่องอาการ ‘สุขล้น’ ของอาร์เซนอล
ไม่ใช่ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้ายังมีขวากหนามรออยู่ ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามีโอกาสที่จะผิดหวัง
แค่วันนี้จะขอมีความสุขบ้าง ผิดมากหรือไร?