การเจรจาระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ นอกรอบการประชุมเอเปค เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 30 ต.ค. ที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่นของเกาหลีใต้) กลายเป็นเวทีที่ทั่วโลกจับตา เพราะนี่คือการพบกันอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี ซึ่งอาจเป็น ‘จุดเริ่มต้นใหม่’ ของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองมหาอำนาจ โดยการหารือกินเวลาราว 1 ชั่วโมง 40 นาที ก่อนที่ทรัมป์จะออกมาแถลงต่อสื่อ
โดยมีข้อตกลงทางการค้ากับจีน ดังนี้
- ภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนลดเหลือ 47% และมีผลทันที
 
ทรัมป์ประกาศลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตราใหม่ จากเดิม 57% เหลือ 47% เพื่อแลกกับการที่จีนจะกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ และร่วมมือกันในการปราบปรามการค้าเฟนทานิล (fentanyl) ผิดกฎหมาย รวมถึงรักษาการส่งออก “แร่หายาก” (Rare Earths)
- ภาษีศุลกากรที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลลดเหลือ 10% และมีผลทันที
 
ภาษีนำเข้าเฟนทานิลจากจีนถูกปรับลดลงจาก 20% เหลือ 10% โดยทรัมป์เชื่อว่า สี จิ้นผิงจะดำเนินการจริงจังในการหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเฟนทานิล ซึ่งเป็นสารตั้งต้นและก่อให้เกิดปัญหายาเสพติดอย่างร้ายแรงในสหรัฐฯ
- จีนจะกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ‘ทันที’
 
จีนจะซื้อถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่น ๆ จากสหรัฐฯ ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น หลังจากหยุดนำเข้าตั้งแต่เดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเกษตรกรอเมริกัน แม้ว่าก่อนหน้านี้ จีนเคยนำเข้าในปริมาณที่มากถึง 22.5 ล้านตันต่อปี แต่ในช่วงต้นปีนี้จนถึงปัจจุบัน ปริมาณนำเข้ากลับเหลือเพียง 12 ล้านตันเท่านั้น ขณะที่สก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ภายใต้ข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ จีนให้คำมั่นว่าจะซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ปีละ 25 ล้านตัน ต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี
- ยุติการผูกขาดและการระงับการส่งออก ‘แร่หายาก’
 
ทรัมป์ระบุว่า ประเด็นการค้าเกี่ยวกับแร่หายากได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว แม้ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด แต่ยืนยันว่า “ไม่มีอุปสรรคจากจีนอีกต่อไป” ซึ่งมีนัยสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานด้านเทคโนโลยีของโลก
- ระงับการเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือ
 
สำหรับค่าธรรมเนียมท่าเรือซึ่งเรียกเก็บกับเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ คือหนึ่งในประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน และเคยเป็นต้นเหตุให้ค่าระวางเรือทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นนั้น ล่าสุดทั้งสองประเทศตกลงที่จะระงับการเก็บค่าธรรมเนียมตอบโต้ระหว่างกันเป็นการชั่วคราว โดยข้อตกลงดังกล่าวจะพักชำระค่าธรรมเนียมท่าเรือเป็นเวลา 12 เดือน คิดเป็นมูลค่าราว 3,200 ล้านดอลลาร์ต่อปี สำหรับเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ที่ผลิตในจีนและเดินทางเข้าเทียบท่าเรือของสหรัฐฯ
- บรรลุข้อตกลงทางการค้า ‘ระยะเวลา 1 ปี’
 
มหาอำนาจทั้งสองประเทศได้บรรลุข้อตกลงทางการค้าเป็นเวลา 1 ปี ซึ่งคาดว่าจะต่ออายุได้ในอนาคตและจะมีการลงนามอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้ โดยทรัมป์ย้ำว่า การเจรจาครั้งนี้เป็น “การพบปะที่ยอดเยี่ยม” และกล่าวชื่นชมสี จิ้นผิงเป็น “ผู้นำที่ยอดเยี่ยม” ในทางกลับกันด้านสี จิ้นผิง ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลการประชุมดังกล่าวแต่อย่างใด
ปมที่รอการคลี่คลาย ประเด็นใหญ่ที่ยังไร้คำตอบ
แม้การพบปะครั้งนี้จะช่วยลดความตึงเครียดระหว่างสองประเทศลงบางส่วน แต่ตลาดกลับมองว่าสถานการณ์ในขณะนี้ ‘เหมือนพายุที่สงบลงชั่วคราวเท่านั้น แต่เมฆดำยังไม่จางหาย’ เพราะยังมี 3 ประเด็นหลักที่จีนเรียกร้อง แต่ไม่ได้รับคำตอบชัดเจนจากสหรัฐฯ อันได้แก่
- การยุติข้อจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีชั้นสูงไปยังจีน
 - การไม่สนับสนุนเอกราชของไต้หวัน
 - การยกเลิกข้อจำกัดด้านการลงทุนของจีนในสหรัฐฯ
 
ทั้ง 3 ประเด็นนี้ ยังคงเป็น “ปมปัญหาที่ไม่ได้มีการพูดถึง” สะท้อนว่าความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ แม้จะเริ่ม ‘คลายปม’ แต่ยังห่างไกลจากคำว่า ‘คลี่คลายอย่างแท้จริง’
ตลาดทองคำยังได้รับปัจจัยหนุน เมื่อความไม่แน่นอนยังคุกรุ่น
ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง ประเมินว่า ตลาดทองคำยังได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ แม้การเจรจาระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ และสี จิ้นผิง จะช่วยคลายความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ลงได้บางส่วน แต่การเจรจาครั้งนี้ถือเป็นเพียง ‘การพักรบทางเศรษฐกิจชั่วคราว’ มากกว่าการยุติสงครามการค้าอย่างแท้จริง
ความไม่แน่นอนยังคงเป็นชนวนสำคัญที่พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์ยังคงใช้มาตรการภาษีเป็นเครื่องมือต่อรองหลักกับคู่ค้าทั่วโลก ในมุมมองของนักลงทุน ประเด็นที่ยังไม่ถูกคลายความชัดเจนจากการเจรจาระหว่างสองมหาอำนาจยังสะท้อนถึงความเสี่ยงที่คงอยู่ในระบบเศรษฐกิจโลก
นอกจากนี้ ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยอื่นๆ เช่น ความเสี่ยงจากการชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ธนาคารกลางหลายประเทศทั่วโลกเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องในปริมาณที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับที่นักลงทุนทั่วโลกต่างทยอยเพิ่มการลงทุนในกองทุนทองคำ (ETF) หรือแม้แต่การคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะไม่ลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.นี้ หลัง เจอโรม พาวเวล ได้ส่งสัญญาณในแถลงการณ์ครั้งล่าสุด รวมถึงสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
จากปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น ล้วนแล้วแต่เป็นแรงขับเคลื่อนและมีส่วนสนับสนุนให้ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ยังคงมีแนวโน้มเป็นบวกและสามารถทรงตัวอยู่ในระดับสูงได้ต่อไป
กลยุทธ์การลงทุนในทองคำ ฮั่วเซ่งเฮงแนะนำให้ทยอยสะสมที่ 3,800 – 3,850 ดอลลาร์ ราคาทองคำแท่งที่ 59,000 – 59,500 บาท ขณะที่ระยะสั้นแนวต้าน 4,150 – 4,200 ดอลลาร์ ราคาทองคำแท่งที่ 63,500 – 64,000 บาท ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงต้องจับตาท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการประชุมครั้งถัดไปในเดือน ธ.ค.นี้ ซึ่งอาจเป็นตัวกำหนดทิศทางราคาทองคำในช่วงสุดท้ายของปี


            
                                        
                                            
                                                
                                                    
                                                        
                
                
                
                
                
                