ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ดำเนินการทางกฎหมายต่อสำนักข่าว BBC ของอังกฤษ หลังจากที่ผู้บริหารของ BBC ออกมายอมรับและแสดงความขอโทษต่อ กรณีสารคดีข่าว Panorama ซึ่งมีการตัดต่อคำปราศรัยของทรัมป์ ก่อนเกิดเหตุจลาจลบุกรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 จนทำให้ดูเหมือนว่าทรัมป์กำลังกระตุ้นกลุ่มผู้สนับสนุนเขาให้บุกไปยังรัฐสภา
โดยทีมทนายความของทรัมป์ ได้ส่งจดหมายถึงสำนักข่าว BBC ยื่นข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ได้แก่
1.ขอให้เพิกถอนสารคดีฉบับดังกล่าวโดยสมบูรณ์และเป็นธรรม รวมถึงข้อความเท็จ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น ทำให้เข้าใจผิด และยุยงปลุกปั่นอื่นๆ ทั้งหมดเกี่ยวกับประธานาธิบดีทรัมป์ ในลักษณะที่เห็นได้ชัดเช่นเดียวกับที่เผยแพร่ครั้งแรก
2.ขอให้ขออภัยในทันทีสำหรับข้อความเท็จ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น ทำให้เข้าใจผิด และยุยงปลุกปั่นเกี่ยวกับประธานาธิบดีทรัมป์
3.ให้ชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ประธานาธิบดีทรัมป์อย่างเหมาะสม
ทีมทนายของทรัมป์ เรียกการตัดต่อคำปราศรัยที่เกิดขึ้นว่า “เป็นเท็จ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และยุยงปลุกปั่น” และระบุว่าทรัมป์ “ได้รับความเสียหายทางการเงินและชื่อเสียงอย่างมหาศาล”
ขณะที่จดหมายยังระบุข้อความเตือนอย่างชัดเจนว่า “หาก BBC ไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อภายในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2025 เวลา 17.00 น. ตามเวลา EST ประธานาธิบดีทรัมป์จะไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากบังคับใช้สิทธิตามกฎหมายและตามหลักความเป็นธรรม ซึ่งสิทธิเหล่านี้สงวนไว้โดยชัดแจ้งและไม่สามารถสละสิทธิ์ได้ รวมถึงการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายไม่น้อยกว่า 1,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ (หนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ)”
BBC ในฐานะสถานีโทรทัศน์สาธารณะของอังกฤษ ได้ออกอากาศสารคดีข่าว Panorama ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2024 โดยเนื้อหาที่กลายเป็นประเด็น คือข้อความปราศรัยของทรัมป์ ที่พูดห่างกัน 54 นาที แต่ถูกตัดต่อให้เหลือเพียงสองประโยค ซึ่งทำให้ดูเหมือนทรัมป์กำลังบอกกลุ่มผู้สนับสนุนว่า “พวกเขาจะเดินไปที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ และจะสู้สุดใจ”
ภายหลังการกล่าวปราศรัยของทรัมป์ ผู้สนับสนุนเขาหลายพันคนได้เดินทางไปยังอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ โดยมีบางคนเข้าไปในอาคารและทะเลาะวิวาทกับตำรวจเพื่อพยายามหยุดการนับคะแนนเลือกตั้ง ขณะที่มีผู้เสียชีวิต 5 คนจากเหตุจลาจลที่เกิดขึ้น ในช่วงเริ่มต้นการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของโจ ไบเดน
ด้าน ซามีร์ ชาห์ ประธาน BBC ได้ออกมาขอโทษต่อ “ความผิดพลาดในการตัดสินใจ” เกี่ยวกับการตัดต่อดังกล่าว ขณะที่ทิม เดวี ผู้อำนวยการใหญ่ BBC และเดโบราห์ เทอร์เนส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายข่าว ได้ลาออกเมื่อคืนวันอาทิตย์ (9 พฤศจิกายน) ที่ผ่านมา หลังจากที่หนังสือพิมพ์ The Telegraph ได้เผยแพร่บันทึกข้อความภายในที่เขียนโดยไมเคิล เพรสคอตต์ อดีตที่ปรึกษาของ BBC ซึ่งมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์สารคดี Panoram ว่า ‘ทำให้ผู้ชมเข้าใจผิด’ เนื่องจากการตัดต่อคำปราศรัยของทรัมป์ ที่ทำให้ดูเหมือนกับว่าเขากำลังยุยงให้ผู้คนบุกโจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ
ด้านทรัมป์ ได้โพสต์ข้อความบน Truth Social โดยขอบคุณ The Telegraph และระบุว่า “บุคคลสำคัญของ BBC รวมถึงทิม เดวี ผู้บริหารระดับสูง ต่างลาออก/ไล่ออก เพราะพวกเขาถูกจับได้ว่า ‘แอบตัดต่อ’ คำปราศรัยที่ยอดเยี่ยม (สมบูรณ์แบบ!) ของผมเมื่อวันที่ 6 มกราคม”
“ขอบคุณ The Telegraph ที่เปิดโปง ‘นักข่าว’ คอร์รัปชันเหล่านี้ พวกเขาเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ที่พยายามสร้างสถานการณ์ที่ไม่เป็นธรรมให้กับการเลือกตั้งประธานาธิบดี ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมาจากต่างประเทศ ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นพันธมิตรอันดับหนึ่งของเรา ช่างเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับประชาธิปไตยจริงๆ!”
จริงๆ แล้วทรัมป์ พูดว่าอะไร?
ก่อนที่ผู้สนับสนุนจะก่อเหตุบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ทรัมป์ได้กล่าวปราศรัยต่อกลุ่มผู้สนับสนุนในกรุงวอชิงตัน โดยยืนยันความเชื่อว่าเขาชนะการเลือกตั้งปี 2020 และไบเดนได้ขโมยชัยชนะของเขาไป
ตลอดคำปราศรัยของเขา มีการใช้คำว่า “สู้” หลายครั้ง รวมถึงในประโยคที่ว่า “เราสู้สุดใจ และถ้าคุณไม่สู้สุดใจ คุณจะไม่มีประเทศอีกต่อไป”
นอกจากนี้ เขาได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาอ้างว่าเป็นหลักฐานการทุจริตในการเลือกตั้ง แม้ว่าศาลจะปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ และยังเรียกร้องให้ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีของเขาในขณะนั้น ช่วยเขาด้วยการไม่ยอมรับผลคะแนนเลือกตั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เพนซ์ไม่ได้ทำ
ขณะที่ทรัมป์ ยังปราศรัยว่า “เป็นหน้าที่ของรัฐสภาที่จะเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ร้ายแรงต่อประชาธิปไตยของเรา”
“และหลังจากนี้ เราจะเดินลงไป และผมจะอยู่ที่นั่นกับคุณ เราจะเดินลงไปที่อาคารรัฐสภา และเราจะส่งเสียงเชียร์สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชายหญิงผู้กล้าหาญของเรา และเราคงจะไม่ส่งเสียงเชียร์พวกเขามากนัก เพราะพวกคุณจะไม่มีวันนำประเทศของเรากลับคืนมาด้วยความอ่อนแอ พวกคุณต้องแสดงความแข็งแกร่งและคุณต้องเข้มแข็ง เรามาเรียกร้องให้รัฐสภาทำในสิ่งที่ถูกต้อง และนับเฉพาะผู้เลือกตั้งที่ถูกตั้งข้อหาอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น”
ภาพ: REUTERS/Jack Taylor
อ้างอิง:


