ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศเดินหน้ามาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% และสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 10% โดยเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ (1 กุมภาพันธ์) ตามเวลาท้องถิ่น พร้อมยืนยันว่าทั้งสามประเทศไม่สามารถทำอะไรได้เพื่อหยุดยั้งการจัดเก็บภาษีในอัตราดังกล่าว
ท่าทีของทรัมป์มีขึ้นระหว่างให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวในห้องทำงานรูปไข่ภายในทำเนียบขาวระหว่างการลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารวานนี้ (31 มกราคม)
โดยช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ประกาศคำขู่ว่าจะเพิ่มอัตราการเก็บภาษีจนกว่าแคนาดาและเม็กซิโกจะยับยั้งการไหลทะลักของผู้อพยพผิดกฎหมายเข้าสู่สหรัฐฯ ตลอดจนกดดันให้ทั้งสองประเทศรวมทั้งจีน ปราบปรามปัญหาการลักลอบส่งยาเสพติดร้ายแรงอย่างเฟนทานิล (Fentanyl) เข้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชาวอเมริกันจำนวนมาก
“ประธานาธิบดีทรัมป์จะเก็บภาษีนำเข้าจากเม็กซิโก 25% แคนาดา 25% และจีน 10% เพื่อตอบโต้เฟนทานิลผิดกฎหมายที่พวกเขาเป็นแหล่งผลิตและปล่อยให้กระจายเข้าสู่ประเทศของเรา ซึ่งคร่าชีวิตชาวอเมริกันไปแล้วหลายสิบล้านคน นี่คือคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้และคำมั่นสัญญาที่ประธานาธิบดีรักษาไว้” แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวกล่าวในการแถลงข่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับน้ำมันที่นำเข้าจากแคนาดา ทรัมป์เผยว่าจะเรียกเก็บภาษีในอัตราที่ 10% โดยอาจมีผลบังคับใช้ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์
นอกจากนี้เขายังประกาศว่า สหรัฐฯ มีแผนที่จะเพิ่มการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป สำหรับสินค้าประเภท เหล็ก อะลูมิเนียม ทองแดง ตลอดจนยา และเซมิคอนดักเตอร์ โดยชี้เหตุผลเนื่องจากการปฏิบัติต่อสหรัฐฯ ที่ไม่ดีนัก ซึ่งสะท้อนท่าทีของเขาที่ไม่พอใจต่อการที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าต่อประเทศใน EU อย่างมหาศาล
ทั้งนี้ ทรัมป์ปฏิเสธความคิดเรื่องการใช้คำขู่เพิ่มอัตราเก็บภาษีเป็นเครื่องมือต่อรอง โดยยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาจากการขาดดุลทางการค้าจำนวนมาก
โดยจีน แคนาดา และเม็กซิโก ถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ คิดเป็น 40% ของสินค้าที่นำเข้าไปยังสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งการเพิ่มอัตราเก็บภาษีดังกล่าวของทรัมป์ก่อเกิดความกังวลว่าอาจเป็นชนวนให้เกิดสงครามการค้าครั้งใหญ่ระลอกใหม่และทำให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นด้วย
ภาพ: Carlos Barria / Reuters
อ้างอิง:
- https://www.reuters.com/world/americas/north-america-braces-new-trump-tariffs-saturday-deadline-nears-2025-01-31/
- https://www.bbc.com/news/articles/ckg0m79gm10o