×

อ่านเกม ‘ภาษีทรัมป์’ หลังอุทธรณ์สหรัฐฯ ชี้ ใช้อำนาจเกินขอบเขต จุดจบคืออะไร

05.09.2025
  • LOADING...
ศาลสหรัฐฯ ชี้ภาษีทรัมป์เกินขอบเขต วิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและการลงทุน

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา คำตัดสินของศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ วินิจฉัยว่าการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ในอดีต ใช้อำนาจตามกฎหมาย International Emergency Economic Power Act (IEPA) ตั้งกำแพงภาษีกับหลายประเทศทั่วโลกนั้นเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต

 

ชาตรี โรจนอาภา CFA, FRM หัวหน้าทีมที่ปรึกษาการลงทุน SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth ระบุว่า เรื่องนี้มีที่มาจากการที่สมาคมผู้ค้ารายย่อยฟ้องร้องรัฐบาล เนื่องจากเห็นว่ากฎหมาย IEPA มีเจตนารมณ์เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ หรือเพื่อการยึดทรัพย์และคว่ำบาตรบางประเทศที่กระทบต่อความมั่นคง ไม่ใช่เพื่อการตั้งภาษีเป็นการทั่วไปซึ่งเป็นอำนาจของรัฐสภาสหรัฐฯ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้

 

ศาลอุทธรณ์จึงมีคำวินิจฉัยยืนตามศาลชั้นต้นว่าการตั้งภาษีดังกล่าวไม่ถูกต้องพร้อมทั้งขยายเวลาให้รัฐบาลสหรัฐฯ ไปจนถึงวันที่ 14 ตุลาคม เพื่อยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุด หรือศาลฎีกา ซึ่งจะทำหน้าที่พิจารณาชี้ขาดในขั้นตอนสุดท้าย 3 ฉากทัศน์ที่อาจเกิดขึ้น

 

เปิด 3 ฉากทัศน์ จุดจบ ‘ภาษีทรัมป์’

 

ชาตรี ยังวิเคราะห์ต่อว่า คำตัดสินของศาลสูงสุดมีแนวโน้มที่จะออกมาได้ 3 ฉากทัศน์ ดังนี้

 

  1. ศาลสูงสุดไม่รับอุทธรณ์ ในกรณีนี้ คำตัดสินของศาลอุทธรณ์จะเป็นที่สิ้นสุด ภาษีที่ตั้งไว้ทั้งหมดถือว่าผิดกฎหมายและต้องถูกยกเลิกไป รวมถึงต้องพิจารณาเรื่องการคืนภาษีที่จัดเก็บไปแล้ว ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่องบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ และอาจนำไปสู่ปัญหาทางการคลังในอนาคต

 

  1. ศาลสูงสุดรับอุทธรณ์แต่ตัดสินว่ารัฐบาลผิด ผลลัพธ์จะเหมือนกับกรณีแรก คือการตั้งภาษีดังกล่าวไม่ถูกต้องและต้องถูกยกเลิก ซึ่งอาจต้องใช้เวลาพิจารณานานขึ้น แต่ก็ยังคงเป็นผลดีต่อการค้าโลกโดยรวม และจะช่วยคลายความกังวลของนักลงทุนได้ในระยะยาว

 

  1. ศาลสูงสุดรับอุทธรณ์และตัดสินว่ารัฐบาลทำถูกต้อง หากศาลสูงสุดวินิจฉัยเช่นนี้ จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถใช้กฎหมาย IEPA ในการตั้งกำแพงภาษีได้ในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงของสงครามการค้ารอบที่สองและสามในอนาคต

 

ขณะที่นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า ศาลสูงสุดมีผู้พิพากษา 6 ใน 9 คนที่ได้รับการแต่งตั้งในสมัยที่พรรครีพับลิกันเป็นรัฐบาล อาจทำให้ทรัมป์มีโอกาสได้เปรียบกว่า 2 ศาลแรก แต่ชาตรีชี้ให้เห็นว่าการที่ศาลสูงสุดจะกลับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นได้นั้น ต้องมีหลักฐานและเหตุผลที่ชัดเจนอย่างยิ่งยวด และประเด็นนี้จะเป็นสิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ เองก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือกับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะออกมาในทิศทางใดก็ตาม

 

ประเมินจุดจบถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก

 

ไม่ว่าจะออกมาในทิศทางใด ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกก็มีแนวโน้มที่จะเป็นเชิงบวก หรือเป็นกลาง มากกว่าที่จะแย่ลงกว่าที่เป็นอยู่ เพราะในมุมมองของนักลงทุน มีเพียง 2 กรณีเท่านั้นที่จะเกิดขึ้น คือ สถานการณ์ยังคงเป็นเหมือนปัจจุบัน หรือ สถานการณ์จะดีขึ้น

 

วิเคราะห์ผลกระทบต่อสินทรัพย์ลงทุนโลก โดนสะเทือนแค่ไหน

 

หากศาลสูงสุดตัดสินว่าการตั้งภาษีผิดกฎหมาย จะส่งผลบวกอย่างมากต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ไปยังสหรัฐฯ อย่างจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น เวียดนาม รวมถึงประเทศไทย เพราะจะทำให้ความกังวลเรื่องสงครามการค้าลดลง เศรษฐกิจโลกกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง และผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ที่เคยได้รับผลกระทบก็จะฟื้นตัว สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจมีบางอุตสาหกรรมที่เคยได้รับการปกป้องจากภาษีอย่างเช่น เหล็กและรถยนต์ได้รับผลกระทบในระยะสั้น แต่ภาพรวมการบริโภคและการลงทุนจะดีขึ้น

 

  • ตลาดตราสารหนี้ กรณีที่ศาลตัดสินว่าการตั้งภาษีผิดกฎหมาย ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลต้องคืนภาษีที่เก็บไปแล้ว จะทำให้งบประมาณขาดดุลมากขึ้นและต้องออกพันธบัตรเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจดันให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาวสูงขึ้นได้ ในทางกลับกัน พันธบัตรระยะสั้นอาจได้ประโยชน์จากการที่อัตราเงินเฟ้อลดลง ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีโอกาสลดดอกเบี้ยได้
  • ค่าเงิน กรณีที่ศาลตัดสินว่าการตั้งภาษีผิดกฎหมาย ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง จากการที่รัฐบาลขาดดุลมากขึ้นและ Fed อาจลดดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม หากผลตัดสินออกมาว่ารัฐบาลทำถูกต้อง สถานการณ์ทุกอย่างก็จะคงที่เหมือนในปัจจุบัน

 

เปิดกลยุทธ์ลงทุนรับมือความไม่แน่นอนสูง

 

ชาตรีให้คำแนะนำนักลงทุนว่า จากความไม่แน่นอนนี้ โอกาสที่ตลาดจะปรับฐานในระยะสั้นถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุน โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งมีโอกาสได้รับผลบวกมากกว่าตลาดพัฒนาแล้ว โดยนักลงทุนสามารถพิจารณาเข้าลงทุนในตลาดหุ้นได้ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ หรือ Emerging Market ก็ตาม

 

เนื่องจากผลลัพธ์ของคดีนี้มีเพียง 2 อย่าง คือ สถานการณ์จะยังคงเป็นเหมือนปัจจุบัน หรือ สถานการณ์จะดีขึ้น ซึ่งหมายความว่าการลงทุนในตลาดหุ้นยังคงมีความน่าสนใจอยู่มาก

 

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามการตัดสินของศาลสูงสุดอย่างใกล้ชิด เพราะหากผลออกมาในทางตรงกันข้าม การเงินการคลังของสหรัฐฯ อาจเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ และตลาดโลกอาจสั่นสะเทือนอีกครั้งอย่างที่หลายคนคาดไม่ถึง

 

ภาพ: IAB Studio/Shutterstock

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising