แม้ทรัมป์จะกลับลำชะลอการขึ้นอัตราภาษี 90 วันให้กับ 75 ประเทศที่พยายามเข้าไป เจรจา หนึ่งในนั้นรวมถึงประเทศไทยด้วย แต่ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าบทสรุปในครั้งนี้จะจบลงอย่างไร โดยสิ่งที่ธุรกิจไทยต้องทำคือการปรับตัวตั้งรับเพื่อฝ่าเกมภาษีนี้ไปให้ได้
THE STANDARD WEALTH มีโอกาสสัมภาษณ์ ปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้า หน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้นำตลาดเครื่องดื่มในไทยที่มีประสบการณ์ส่งออกสินค้ากว่า 100 ประเทศ ซึ่งจะมาให้มุมมองและแนวทางตั้งรับกำแพงภาษีสหรัฐฯที่กำลังสร้างความปั่นป่วนทั่วโลกอยู่ในขณะนี้
ปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) ฉายภาพว่า หลังจากสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทย 36% นับว่าเป็นตัวเลข ที่สูงมากซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในตลาดสหรัฐฯที่อาจจะแย่ลงไปด้วย
ปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน)
ในขณะเดียวกันไทยต้องไปดูภาพรวมของประเทศคู่แข่งเราด้วยว่าเจอกำแพงภาษีอยู่ที่ระดับเท่าไหร่และถ้าประเทศคู่แข่งเราเจอภาษีมากกว่า อาจทำให้ไทยมีมุมมองในแง่บวกขึ้นมาบ้าง
ธุรกิจเอกชนไทย เกาะติดเกมภาษี ‘ทรัมป์’ ป่วนเศรษฐกิจโลก
ถ้าให้ประเมินเกมภาษี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประธานาธิบดีสหรัฐ มองว่า ทรัมป์เป็นนักธุรกิจและนักต่อรองระดับต้นๆ ของโลก มีความเป็นไปได้ว่าทรัมป์ต้องการให้อเมริกากลับมามี Trade Balance ที่ดีขึ้น แน่นอนว่าหลายๆ ประเทศคงมองไปในทิศทางเดียวกัน
สิ่งที่เรากังวลอยู่ตอนนี้ ในช่วงที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ยังเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯอยู่ทั่วโลกล้วนเผชิญกับความไม่แน่นอน การเดินเกมของทรัมป์ล้วนโฟกัสไปที่ผลประโยชน์ของสหรัฐฯเป็นหลัก สอดรับกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่วิเคราะห์ว่าทรัมป์ต้องการปรับเปลี่ยนการค้าโลกใหม่
และอีกหนึ่งเป้าหมายของทรัมป์ ต้องการดึงบริษัทต่างชาติเข้าไปลงทุนในอเมริกา ผลิตและขายในอเมริกา มันก็มีความเป็นไปได้ แต่การสร้างโรงงานและการย้ายฐาน การผลิตไม่ได้ง่าย ทั้งการนำเข้าเทคโนโลยี การหาคนที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจทุกอย่างต้องใช้เวลา แน่นอนว่าความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเราไม่สามารถ คาดการณ์อะไรได้เลย
ยิ่งในขณะนี้หลายประเทศมหาอำนาจอื่นๆมีการโต้ตอบนโยบายภาษีทรัมป์กลับ สิ่งที่ไทยทำได้คือต้องเกาะติดสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด เพราะเราไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดของสงครามการค้าจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ เพราะตอนนี้ทุกประเทศยังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาซึ่งอาจยังพูดไม่ได้ว่าใครจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบ
SAPPE โชว์แกร่ง! ภาษีทรัมป์ไม่กระทบธุรกิจ
สำหรับเส้นทางธุรกิจของ SAPPE ปัจจุบันมีการส่งออกสินค้าไปกว่า 100 ประเทศ ทั่วโลก ที่ผ่านมามีการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอมาพอสมควร โดยสัดส่วน รายได้หลักมาจากตลาดเอเชีย ยุโรป 20% ส่วนสหรัฐฯมีสัดส่วนน้อยกว่า 5% ซึ่งถือ ว่ายังน้อย ทำให้บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีใหม่มากนัก
ส่วนทิศทางและแผนงานต่อจากนี้ บริษัทก็ไม่ปิดกั้นและเดินหน้ามองหาโอกาสขยายการลงทุนไปยังประเทศใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มสินค้า SAPPE อยู่ในเซกเมนต์พรีเมียมแมส ที่ยังพอได้รับสัญญาณบวกจากผู้บริโภคกลุ่มนี้อยู่บ้าง
สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปคือการจัดโปรโมชันเพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและจากนี้ยังมุ่งรักษาภาพลักษณ์แบรนด์ควบคู่กับการสร้างแบรนดิ้งให้แข็งแกร่ง เพราะยิ่งแบรนด์แข็งแกร่งมากแค่ไหน โอกาสการตลาดก็จะมีมากขึ้นเช่นกัน
กังวลกำแพงภาษีฉุดเศรษฐกิจโลก
แม่ทัพใหญ่ SAPPE แสดงความเห็นต่อไปว่า ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทมีความกังวลถึงทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจว่าจะถดถอยลงหรือไม่ซึ่งถ้าหากเศรษฐกิจโลกถดถอยก็จะมีผลต่อการจับจ่ายของผู้บริโภคในทุกๆ ประเทศและทุกๆ บริษัท
แต่ถ้าให้เทียบกับสถานการณ์โควิดเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่ใกล้เคียงกันคือเราไม่รู้ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ แต่ในแง่ของสงครามภาษียังมีสัญญาณที่ดีกว่า อย่างน้อยผู้คนก็ออกมาจับจ่ายใช้สอยได้ อีกทั้งธุรกิจยังสามารถกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่นๆ ได้
มั่นใจรัฐบาลไทยมีอาวุธลับเข้าไปเจรจา
เมื่อมาดูในส่วนของประเทศไทย SAPPE เราเชื่อมั่นในกระบวนการทำงานของรัฐบาลและมองว่ารัฐบาลคงมีอาวุธลับในมือที่จะไปเจรจาอยู่แล้ว แต่สิ่งที่อยากฝากเพิ่มเติมคืออยากให้รัฐบาลเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งของไทยด้วย เพื่อหาวิธีทำให้ไทยไม่ต้องจ่ายภาษีสูงกว่าประเทศคู่แข่ง
และที่สำคัญที่สุดคือรัฐบาลต้องประเมินว่าจะมีประเทศไหนบ้างที่มีศักยภาพและต้องรีบจัดการทำ FTA กับประเทศนั้นๆ เพื่อเปิดทางให้ธุรกิจไทยมีโอกาสทำการค้าในประเทศใหม่ๆ ได้กว้างขึ้น โดยเฉพาะ ประเทศในโซนเอเชีย และยุโรปที่ยังมีการเติบโตของ GDP และเป็นประเทศที่ค่อนข้างแข็งแกร่งและมีกำลังซื้ออยู่ขณะนี้