ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชัดเจนแล้วว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนของพรรครีพับลิกัน จะก้าวสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2025 ชัยชนะที่ทิ้งห่างคู่แข่งของทรัมป์ช่วยลดความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน สะท้อนผ่านดัชนี CBOE Volatility (VIX) ลดลงจากระดับเหนือ 20 จุดในช่วงที่จัดการเลือกตั้ง สู่ระดับราว 14 จุด ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2024 ขณะเดียวกันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยระหว่างวันที่ 5-13 พฤศจิกายน 2024 ดัชนี S&P 500 +3.50% และดัชนี Nasdaq +4.29% ส่วนดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นดัชนีของบริษัทขนาดเล็กสุด 2,000 บริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐฯ +4.80% เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่านโยบายของทรัมป์และพรรครีพับลิกันจะส่งผลดีต่อตลาด เช่น นโยบายการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคล ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ขณะเดียวกันนโยบายผ่อนคลายกฎระเบียบ (Deregulation) ในภาคธนาคารของทรัมป์ หนุนให้หุ้นกลุ่มธนาคารและสถาบันการเงินให้ผลตอบแทนที่โดดเด่น โดยดัชนี Dow Jones U.S. Banks +10.02% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ในฝั่งของสินทรัพย์ดิจิทัลก็ต่างปรับตัวขึ้นหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เช่นกัน โดยระหว่างวันที่ 5-13 พฤศจิกายน 2024 บิทคอยน์ปรับตัวขึ้นมากกว่า +30% เนื่องจากทรัมป์มีนโยบายสนับสนุนคริปโตเคอร์เรนซี โดยมุ่งผลักดันให้สหรัฐฯ เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล และหนึ่งในนโยบายสำคัญคือการจัดตั้งคลังสำรองบิทคอยน์เชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Bitcoin Reserve) นอกจาก โดชคอยน์ (Dogecoin: DOGE) เงินสกุลดิจิทัลรูปสุนัขพันธุ์ชิบะ (Shiba Inu) พุ่งทะยานมากกว่า +150% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยโดชคอยน์เป็น Meme Coin หรือสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างจากเรื่องตลกบนอินเทอร์เน็ตที่มีมูลค่าตลาด (Market Cap) สูงที่สุดในโลก และได้รับการสนับสนุนจาก อีลอน มัสก์ ที่ทรัมป์แต่งตั้งให้ดูแลกระทรวงพัฒนาประสิทธิภาพรัฐบาล (Department of Government Efficiency: DOGE)
ในมุมของนโยบายการเงิน การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นให้ปรับตัวขึ้นต่อ รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงมีแนวโน้มแข็งแกร่ง สะท้อนผ่านนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์โอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง (Recession) ในระยะ 1 ปีข้างหน้า อ้างอิงจาก Bloomberg Consensus ลดลงเหลือเพียง 25% ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2024 จากระดับ 50% เมื่อต้นปี 2024 ท่ามกลางบรรยากาศตลาดที่เต็มไปด้วยข่าวดี ‘Animal Spirits’ หรือปัจจัยทางอารมณ์และจิตวิทยาที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการลงทุนและแนวโน้มของตลาด กำลังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นอย่างเต็มที่ ดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและสร้างสถิติสูงสุดใหม่ได้หลายครั้ง ก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 โดยในมุมมองของเรา ช่วง 2 เดือนก่อนพิธีสาบานตนรับตำแหน่งนี้ถือเป็นจังหวะที่เหมาะสมสำหรับกลยุทธ์การเก็งกำไร โดยเฉพาะในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กในสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น และหลังการเข้าดำรงตำแหน่งของทรัมป์ในเดือนมกราคม 2025 ตลาดหุ้นอาจเผชิญกับความผันผวนจากนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนและประเทศคู่ค้าอื่นๆ รวมถึงความตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น ดังนั้นนักลงทุนควรใช้ช่วงเวลาก่อนการเปลี่ยนผ่านนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการสร้างผลตอบแทน ก่อนที่ความไม่แน่นอนจะเริ่มมีอิทธิพลต่อตลาดในปี 2025
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กในสหรัฐฯ มากขึ้น โดยหุ้นกลุ่มนี้มักได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงของธนาคารกลางมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนขนาดกลางและขนาดเล็กมีภาระดอกเบี้ยและหนี้ที่ต้องเร่งการผ่อนชำระมากกว่า อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่เริ่มเข้าสู่วัฏจักรการปรับลดดอกเบี้ย ช่วยให้เราคลายความกังวลในประเด็นนี้มากขึ้น แม้ว่าระดับดอกเบี้ยจะยังคงสูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการระบาดของโควิด ขณะเดียวกันนโยบายของทรัมป์ค่อนข้างส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มขนาดกลางและขนาดเล็ก อ้างอิงจากบทวิเคราะห์ US Equity Views: Potential implications of corporate tax reform for S&P 500 earnings ของ Goldman Sachs ที่เผยแพร่ ณ วันที่ 4 กันยายน 2024 คาดการณ์ว่าทุกการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลลง 1% ของรัฐบาลสหรัฐฯ กำไรต่อหุ้น (EPS) ของดัชนี Russell 2000 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.3% ซึ่งสูงกว่าผลกระทบต่อ EPS ของดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่ำกว่า 1% นอกจากนี้เราคาดว่านโยบายของทรัมป์จะสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการควบรวมและการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งจะส่งผลดีโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดกลางและขนาดเล็ก
ในด้านของอารมณ์ตลาด (Market Sentiment) ยังคงสดใส และตลาดเข้าสู่ภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk On) อย่างเต็มที่หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยผู้จัดการกองทุนทั่วโลกมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากขึ้น สะท้อนจากแบบสำรวจมุมมองผู้จัดการกองทุนทั่วโลก (Global Fund Manager Survey) เดือนพฤศจิกายน 2024 จาก Bank of America หลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มุมมองผู้จัดการกองทุนทั่วโลกที่เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ สุทธิ (Net % Overweight US Equities) เพิ่มขึ้นมากจาก 10% ในเดือนตุลาคม 2024 เป็น 29% ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 11 ปี และ 43% ของผู้จัดการกองทุนทั่วโลกที่ตอบแบบสำรวจ คาดว่าหุ้นสหรัฐฯ จะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในปี 2025 เพิ่มขึ้นจากระดับ 27% ที่สำรวจในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นอกจากนี้ผู้จัดการกองทุนทั่วโลกเชื่อว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กในสหรัฐฯ มีศักยภาพที่จะสร้างผลตอบแทนที่น่าประทับใจในปีหน้า โดยผู้จัดการกองทุนทั่วโลกมองว่าดัชนี Russell 2000 จะให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในปี 2025 ตามด้วยดัชนี Nasdaq และดัชนี MSCI Emerging Markets ขณะที่สัดส่วนสุทธิของผู้จัดการกองทุนทั่วโลกที่มีมุมมองว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่ เพิ่มขึ้นจากระดับ 3% ในเดือนตุลาคม 2024 เป็น 35% หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ดังนั้นเรามองว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กในสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อ และแนะนำให้นักลงทุนที่รับความผันผวนได้เข้าเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มดังกล่าว เพื่อรับประโยชน์จาก ‘Animal Spirits’ ที่กำลังดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทะยานสู่จุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง ทั้งนี้ การลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กยังคงมีข้อจำกัดในระยะยาว เนื่องจากบริษัทในดัชนี Russell 2000 มีสัดส่วนของบริษัทที่ผลประกอบการขาดทุนที่สูงกว่าบริษัทในดัชนี S&P500 ดังนั้นแม้หุ้นกลุ่มนี้จะเหมาะสำหรับการสร้างผลตอบแทนในระยะสั้น แต่สำหรับการลงทุนในระยะยาว นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานทางการเงินของบริษัท และอาจพิจารณาหุ้นขนาดใหญ่ที่มีความแข็งแกร่งและความมั่นคงทางการเงินมากกว่า เพื่อบริหารความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในพอร์ตการลงทุน