×

เบื้องหลังทรัมป์เยือน 3 ชาติอาหรับ ใครได้อะไร

13.05.2025
  • LOADING...
ทรัมป์

13-16 พฤษภาคม 2025 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เริ่มต้นภารกิจเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการในวาระที่สอง ด้วยการเลือกซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นจุดหมายแรก

 

การเดินทางครั้งนี้อาจดูคล้ายภารกิจทางการทูตทั่วไป แต่ในความเป็นจริง นี่คือการเดินเกมเชิงยุทธศาสตร์ที่สะท้อนทิศทางใหม่ของสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์ยุคที่สองที่นโยบายต่างประเทศไม่ยึดติดกับหลักการระยะยาว หากแต่เน้นผลประโยชน์ที่วัดผลได้ทันที ทั้งด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และอำนาจต่อรองในเวทีโลก

 

บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลาง เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยเบื้องหลังการเยือนในครั้งนี้ และอะไรคือสิ่งที่แต่ละประเทศกำลังจะได้กลับไป?

 

ซาอุดีอาระเบีย หมุดหมายสำคัญในอ่าวอาหรับ

 

บทวิเคราะห์จาก CNN มองว่า เป้าหมายของซาอุดีอาระเบียในการต้อนรับทรัมป์ในครั้งนี้นั้นชัดเจน นั่นคือความต้องการในข้อตกลงด้านความมั่นคงจากสหรัฐฯ ที่มีผลผูกพันและชัดเจน หลังจากดีลร่วมด้านการป้องกันประเทศที่เกือบจะสำเร็จเมื่อปีที่แล้วต้องสะดุด เพราะเงื่อนไขที่ซาอุฯ ต้องการให้สหรัฐฯ ผลักดันอิสราเอลยอมรับเส้นทางสู่การตั้งรัฐปาเลสไตน์

 

ขณะเดียวกัน รัฐบาลริยาดยังเดินหน้าเจรจาขอความร่วมมือในการพัฒนาโครงการพลังงานนิวเคลียร์เพื่อพลเรือน โดยมีประเด็นสำคัญคือต้องการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมในประเทศ ซึ่งจุดชนวนความกังวลเรื่องการแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ในสายตาวอชิงตันและเทลอาวีฟ

 

การเสนอให้บริษัทอเมริกันเข้ามามีบทบาทในโครงการนี้ คือสิ่งที่ซาอุฯ ใช้ดึงดูดความสนใจ ขณะที่ทรัมป์เองเคยกล่าวว่าหากซาอุฯ ลงทุน 1 ล้านล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ เขาก็พร้อมจะเดินทางไปเยือน และแม้รัฐบาลริยาดจะไม่ได้ยืนยันตัวเลขนั้นตรงๆ แต่ก็ประกาศแผนการเพิ่มมูลค่าการค้ากับสหรัฐฯ ถึง 600,000 ล้านดอลลาร์ภายใน 4 ปี ซึ่งสะท้อนทิศทาง Win-Win ที่ทั้งสองฝ่ายต่างหวังผลประโยชน์ร่วมกัน

 

ทว่าความท้าทายก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ลดลงจากนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ ซึ่งอาจกระทบกับแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจของมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ที่ต้องใช้รายได้จากน้ำมันมหาศาลเป็นทุนในการเปลี่ยนผ่านประเทศให้พ้นจากการพึ่งพาพลังงาน

 

UAE แหล่งเงินลงทุนระดับโลก

 

UAE อาจเป็นประเทศในอ่าวอาหรับที่ลงทุนในสหรัฐฯ อย่างมีกลยุทธ์และหนักแน่นที่สุด ภายใต้การสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็น ‘เมืองหลวงของเงินทุน’ (The Capital of Capital) อาบูดาบีไม่เพียงแต่ใช้เงินเป็นเครื่องมือสร้างอิทธิพล หากแต่ใช้เป็นคันโยกสำคัญในการต่อรองอำนาจด้านเทคโนโลยีแห่งอนาคต

 

แผนลงทุนมูลค่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า มุ่งเน้นไปที่ AI, เซมิคอนดักเตอร์, พลังงาน และอุตสาหกรรมขั้นสูง สะท้อนความทะเยอทะยานที่จะเป็นผู้นำโลกด้านเทคโนโลยีภายในปี 2031 แต่ภายใต้ยุคของ โจ ไบเดน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการเข้มงวดในการจำกัดการส่งออกชิปและเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะกับประเทศที่มีความใกล้ชิดกับจีน ซึ่ง UAE ก็ติดอยู่ในรายชื่อที่ถูกจำกัดการเข้าถึง

 

ทรัมป์จึงถูกคาดหวังว่าจะยกเลิกมาตรการเหล่านี้ เพื่อเปิดทางให้ UAE ได้เข้าถึงเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อการพัฒนาภาคเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่ออาบูดาบีเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสใหม่สำหรับบริษัทเทคโนโลยีอเมริกันในการเข้าถึงตลาดเงินทุนที่มหาศาลที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

 

กาตาร์ สัมพันธ์ยาวนานทางทหารกับบทบาท ‘ผู้ไกล่เกลี่ย’ ในเวทีความขัดแย้ง

 

กาตาร์ถือไพ่สำคัญในแง่ความสัมพันธ์กับกองทัพสหรัฐฯ โดยฐานทัพ Al Udeid ที่ตั้งอยู่ในประเทศ ถือเป็นศูนย์กลางยุทธศาสตร์ในการปฏิบัติการของสหรัฐฯ ทั่วตะวันออกกลาง และถูกขยายเวลาการใช้งานออกไปอีก 10 ปีภายใต้ข้อตกลงลับเมื่อปีก่อน

 

การได้รับสถานะ ‘พันธมิตรนอกนาโต้’ (Major Non-NATO Ally) ตั้งแต่ปี 2022 ยิ่งทำให้กาตาร์เป็นเสมือน ‘คู่หู’ ของสหรัฐฯ ทางการทหาร และก่อให้เกิดความเชื่อมั่นในระดับสูง 

 

ในด้านการทูต กาตาร์ใช้บทบาทของตนในการเป็น ‘ตัวกลาง’ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในกรณีการเจรจาอัฟกานิสถานและในสงครามกาซา หรือแม้แต่ความพยายามคลี่คลายวิกฤตซีเรีย โดยเชื่อว่าการมีบทบาทไกล่เกลี่ยจะทำให้วอชิงตันเห็นความจำเป็นในการรักษาพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์นี้เอาไว้

 

ในครั้งนี้ จึงมีความคาดหวังกันว่าทรัมป์จะถูกผลักดันให้พิจารณายกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อซีเรียภายใต้กฎหมายคว่ำบาตรซีเรีย (Caesar Act)  ซึ่งหากสำเร็จ อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในความพยายามฟื้นฟูซีเรีย และสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลใหม่ของ อาเหม็ด อัล-ชาอะรา ประธานาธิบดีของซีเรียคนปัจจุบัน

 

มุมมองนักวิเคราะห์ เบื้องหลังใครได้อะไร?

 

ดร.โมฮาเหม็ด เอลโดห์ จาก Eurasia Review ระบุว่าการเดินทางครั้งนี้คือ “การเล่นเกมอำนาจอย่างรอบคอบ” (a calculated power play) ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการหาทางออกทางเศรษฐกิจให้กับสหรัฐฯ โดยอาศัยเครือข่ายพันธมิตรที่พร้อมลงทุนอย่างอ่าวอาหรับ 

 

เขาชี้ให้เห็นว่า ทรัมป์เน้นดีลระยะสั้นและผลลัพธ์ทางธุรกิจ มากกว่าการทูตในกรอบระยะยาว ซึ่งเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงในยุทธศาสตร์สหรัฐฯ ท่ามกลางโลกที่กำลังเปลี่ยนจากการมีขั้วอำนาจเดียว (unipolarity) สู่ความเป็นพหุขั้วหรือหลายขั้วอำนาจ (multipolarity)

 

ขณะที่ จอน บี. อัลเตอร์แมน รองประธานอาวุโสจาก ศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษาระหว่างประเทศ วิเคราะห์ว่า “ภูมิภาคอ่าวอาหรับคือพื้นที่ปลอดภัยทางการเมืองสำหรับทรัมป์” (Trump’s happy place) เพราะที่นี่เขาได้รับการต้อนรับด้วยความใจกว้าง ทั้งในมิติของผลประโยชน์และความสัมพันธ์ส่วนตัว Alterman ระบุว่า ผู้นำอ่าวอาหรับไม่เพียงมองทรัมป์ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังปฏิบัติต่อครอบครัวของเขาในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจด้วย ซึ่งตอกย้ำว่า การเดินทางครั้งนี้มีทั้งมิติส่วนตัว เศรษฐกิจ และอำนาจแฝงอยู่ในเวลาเดียวกัน

 

ขณะที่ในมุมมองของผศ.ดร. มาโนชญ์ อารีย์ อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มองว่าการเยือนครั้งนี้มีเป้าหมายชัดเจนสองประการคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ผ่านการดึงดูดเงินลงทุนจากกลุ่มประเทศอาหรับ และ การรักษาอิทธิพลของอเมริกาในตะวันออกกลาง ไม่ให้ถูกแทนที่โดยจีนหรือรัสเซีย

 

จากทรัมป์ 1.0 สู่ทรัมป์ 2.0: เปลี่ยนเป้าหมายจากความมั่นคงสู่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

 

ในสมัยแรก ทรัมป์เริ่มต้นความสัมพันธ์กับโลกอาหรับโดยเน้นความมั่นคงเป็นหลัก ทั้งการกดดันอิหร่าน และการขอความร่วมมือปราบปรามการก่อการร้าย ทว่าการกลับมาอีกครั้งในฐานะผู้นำสหรัฐฯ ครั้งนี้ จุดมุ่งหมายหลักของเขาไม่ใช่การรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคเป็นอันดับแรก หากแต่เป็นการ “ดึงดูดเงินลงทุน” จากกลุ่มประเทศร่ำรวยในอ่าวอาหรับ เพื่ออุดช่องโหว่เศรษฐกิจในประเทศที่ยังคงได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและภาษีนำเข้าที่เขาเองเป็นผู้ก่อ

 

สหรัฐฯ เปลี่ยนชื่ออ่าวเปอร์เซียเป็น ‘อ่าวอาหรับ’ เพื่อส่งสัญญาณเชิงสัญลักษณ์ว่าเลือกข้าง

 

หนึ่งในสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดคือการที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ ตัดสินใจเปลี่ยนคำเรียก ‘อ่าวเปอร์เซีย’ (Persian Gulf) เป็น ‘อ่าวอาหรับ’ (Arabian Gulf) อย่างเป็นทางการ นี่ไม่ใช่แค่การตั้งชื่อใหม่ แต่เป็นการแสดงจุดยืนเชิงการเมืองชัดเจนว่า สหรัฐฯ พร้อมจะยืนเคียงข้างกลุ่มประเทศอาหรับในการต่อรองกับอิหร่าน จีน และอิสราเอล

 

การเมือง ความมั่นคง และเกมสมดุลกับอิหร่าน-อิสราเอล

 

ปัจจัยที่ซับซ้อนมากยิ่งกว่านั้นคือประเด็นการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาค ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัย

 

  • ความสัมพันธ์กับอิสราเอล:

สหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์กำลังเผชิญปัญหากับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอลอย่างชัดเจน ทั้งจากเหตุการณ์หยุดยิงกับกลุ่มฮูตีโดยไม่ผ่านการประสานกับอิสราเอล และสัญญาณที่ว่าอเมริกาอาจยอมรับรัฐปาเลสไตน์ นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้ทรัมป์หันไปพึ่งพันธมิตรอาหรับเพื่อสร้างสมดุลใหม่ในภูมิภาค

 

  • การเจรจานิวเคลียร์กับอิหร่าน:

ท่ามกลางความไม่พอใจจากอิสราเอล ทรัมป์กลับเดินหน้าพูดคุยกับอิหร่านในเรื่องโครงการนิวเคลียร์ โดยหวังจะควบคุมไม่ให้เติบโตจนกลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรง ในขณะเดียวกัน เขาก็พยายามตอบสนองความกังวลของชาติอาหรับด้วยการเสนอความร่วมมือด้านความมั่นคง เพื่อไม่ให้ประเทศเหล่านี้รู้สึกถูกทอดทิ้ง

 

  • ดีลใหญ่กับซาอุดีอาระเบีย:

ซาอุดีอาระเบียเคยเสนอเงื่อนไขชัดเจนในการพิจารณาปรับความสัมพันธ์กับอิสราเอล คือต้องมีการตั้งรัฐปาเลสไตน์ หรือ สหรัฐฯ ต้องสนับสนุนให้ซาอุพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของตนเอง แม้ในอดีตสหรัฐฯ และอิสราเอลจะปฏิเสธข้อเสนอเหล่านี้ แต่ล่าสุดวอชิงตันมีท่าทีใหม่ว่าอาจยอมร่วมมือด้านความมั่นคงกับซาอุ โดยไม่ผูกกับเงื่อนไขทางการทูต นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ต้องจับตา

 

การแย่งชิงอิทธิพล: อเมริกาไม่ต้องการให้จีนแทนที่ในอ่าวอาหรับ

 

อีกหนึ่งแรงจูงใจสำคัญของการเยือนครั้งนี้ คือความพยายามของทรัมป์ในการ “ทวงคืนอิทธิพล” ในภูมิภาคที่เริ่มขยับเข้าใกล้จีนมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นดีลการค้า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือแม้แต่การเจรจาทางการเมือง เช่น กรณีซาอุ-อิหร่านที่กลับมาฟื้นความสัมพันธ์โดยมีจีนเป็นคนกลาง

 

ทรัมป์จึงต้องเร่งสร้างสายสัมพันธ์ใหม่กับพันธมิตรเหล่านี้ เพื่อไม่ให้จีนและรัสเซียขยายอิทธิพลลึกเกินไป

 

ฉนวนกาซา: จุดชี้วัดความสำเร็จของนโยบายใหม่นี้

 

หัวใจของความมั่นคงในตะวันออกกลางในเวลานี้ยังคงอยู่ที่ ‘กาซา’ ซึ่ง ผศ.ดร.มาโนชญ์ มองว่าเป็นเวทีสำคัญที่พันธมิตรอาหรับสามารถแสดงบทบาทร่วมกับทรัมป์ได้ หากสหรัฐฯ สามารถประสานกับอิหร่านและกลุ่มประเทศอาหรับที่มีอิทธิพลต่อฮามาส เพื่อช่วยคลี่คลายสถานการณ์นี้ และร่วมกันฟื้นฟูพื้นที่หลังความขัดแย้ง

 

มีรายงานว่าการประชุมสันนิบาตอาหรับก่อนหน้านี้ ได้พูดคุยถึงงบประมาณการฟื้นฟูฉนวนกาซาสูงถึง 53,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทรัมป์คาดหวังว่าชาติอาหรับเหล่านี้จะเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลัก

 

ระเบียบใหม่ตะวันออกกลางในแบบทรัมป์

 

การเยือน 3 ประเทศในอ่าวอาหรับครั้งนี้ของทรัมป์ จึงไม่ใช่แค่การรีสตาร์ตความสัมพันธ์ หากแต่เป็นการวางหมากของระเบียบใหม่ในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีอเมริกาเป็นผู้เล่นหลัก ไม่ใช่แค่ในฐานะพันธมิตรเดิม แต่ในฐานะ “คู่เจรจาที่มีของแลก” ทั้งในรูปแบบดีลทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการจัดวางสมดุลใหม่ระหว่างอิหร่าน อิสราเอล และกลุ่มประเทศอาหรับ

 

ในมุมมองของ ผศ.ดร.มาโนชญ์ หากทรัมป์สามารถเดินเกมนี้ให้สมดุล ระหว่างดีลกับพันธมิตรอาหรับและการเจรจากับอิหร่านโดยไม่จุดชนวนความขัดแย้งซ้ำ นี่อาจเป็น “วิน-วิน” ไม่เพียงสำหรับสหรัฐฯ แต่รวมถึงประเทศในภูมิภาคที่กำลังมองหาความมั่นคงใหม่ในยุคแห่งความเปลี่ยนแปลง

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising