ทำเนียบขาวยืนยันว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยกเลิกกำหนดการเยือนลาตินอเมริกาเพื่ออยู่ตัดสินใจและตรวจตรามาตรการตอบโต้ซีเรียจากกรณีที่ใช้อาวุธเคมีโจมตีพลเรือนจนมีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน ท่ามกลางความเป็นไปได้ที่เพิ่มมากขึ้นว่าสหรัฐฯ อาจใช้ปฏิบัติการทางทหารกับซีเรียร่วมกับประเทศพันธมิตร
เมื่อวานนี้ (10 เมษายน) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส ได้หารือร่วมกันเกี่ยวกับสถานการณ์ในซีเรีย หลังมีรายงานว่าทหารซีเรียได้ใช้แก๊สคลอรีนโจมตีฝ่ายกบฏในเมืองดูมาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (7 เมษายน) จนมีผู้เสียชีวิตมากถึง 80 คน รวมถึงเด็กและผู้หญิงจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีผู้ล้มป่วยจากการสูดดมแก๊สพิษมากกว่า 500 คน
เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า ทรัมป์ได้พูดคุยกับประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส และนายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ แห่งสหราชอาณาจักร เกี่ยวกับมาตรการตอบโต้ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด โดยหนึ่งในนั้นคือการใช้กำลังทางทหารในซีเรียภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ยังคงปิดปากเงียบเกี่ยวกับรายละเอียดของแผนปฏิบัติการดังกล่าว
แต่สื่อต่างประเทศคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่สหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศสจะร่วมมือกันในปฏิบัติการโจมตีซีเรีย แม้ว่าซีเรียและรัสเซียจะยืนกรานปฏิเสธว่าไม่ได้ใช้อาวุธเคมีกับพลเรือนตามที่ปรากฏในคลิปวิดีโอขององค์กร White Helmets ก็ตาม
ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีมาครงเปิดเผยว่า ฝรั่งเศส สหรัฐฯ และอังกฤษจะตัดสินใจใช้มาตรการตอบโต้ภายในไม่กี่วันนี้ โดยเขาไม่จำเป็นต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาฝรั่งเศสเพื่อใช้ปฏิบัติการทางทหารในซีเรีย เนื่องจากฝรั่งเศสมีส่วนร่วมกับการสู้รบขับไล่กลุ่มรัฐอิสลาม (IS) ในอิรักและซีเรียตั้งแต่ปี 2014 อยู่แล้ว
ด้านองค์การห้ามอาวุธเคมี (Organisation for the Prohibition of Chemical Weapons) หรือ OPCW ระบุว่าได้ส่งคณะทำงานเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้อาวุธเคมีในซีเรียแล้ว
เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว ทรัมป์ได้สั่งการให้โจมตีเป้าหมายในซีเรียด้วยอาวุธโทมาฮอว์กหลายลูก หลังทหารของอัสซาดได้ใช้สารทำลายประสาท ‘ซาริน’ ซึ่งเป็นอาวุธเคมีร้ายแรงโจมตีใส่ฝ่ายกบฏจนมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 80 คน
อ้างอิง: