ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และเมลาเนีย ทรัมป์ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการเดินทางเยือนประเทศอิรักโดยไม่ได้ประกาศล่วงหน้าเมื่อวานนี้ (26 ธ.ค.) เพื่อพบปะทหารอเมริกันที่ปฏิบัติภารกิจในอิรัก เนื่องในเทศกาลคริสต์มาส
ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐฯ ที่เดินทางเยือนประเทศดังกล่าว ต่อจาก จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ซึ่งเริ่มเยือนครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในเดือนพฤศจิกายน ปี 2003 และเดือนธันวาคม ปี 2008 ตามลำดับ ส่วนผู้นำคนที่ 2 คือ บารัก โอบามา ที่เดินทางเยือนอิรักในเดือนเมษายน ปี 2009 ซึ่งเป็นปีแรกที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
การมาถึงของทรัมป์ทำให้เกิดคำถามตามมาเกี่ยวกับอนาคตของปฏิบัติการทางทหารในอิรัก หลังทรัมป์เพิ่งประกาศแผนถอนทหารออกจากซีเรีย และมีรายงานว่ารัฐบาลกำลังพิจารณาถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานด้วย
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสหรัฐฯ ยังไม่ได้เปิดเผยถึงแผนการในอนาคตสำหรับทหารอเมริกันราว 5,000 คนที่เดินทางกลับสู่สมรภูมิในอิรักเพื่อต่อสู้กับนักรบกลุ่มรัฐอิสลาม (IS) แต่ยืนยันว่าเขายังไม่มีแผนถอนทหารออกจากอิรัก และจะยังใช้ประเทศดังกล่าวเป็นฐานสำหรับภารกิจต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายในซีเรียในอนาคตด้วย
เขากล่าวปลุกใจทหารที่ฐานทัพอากาศอัล อาซาดว่า “หากพวกเขาต้องการให้เราสู้รบ พวกเขาก็มีราคาที่ต้องจ่าย” ซึ่งตอกย้ำถึงจุดยืนในยุทธศาสตร์ต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายของสหรัฐฯ
ด้าน ซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาวเผยว่า ทรัมป์ได้หารือทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรี อาดิล อับดุล-มาห์ดี ของอิรัก โดยทรัมป์ได้เชิญอับดุล-มาห์ดีไปเยือนทำเนียบขาว ซึ่งเขาก็ตอบรับ นอกจากนี้ทรัมป์และนายทหารระดับสูงยังหารือกันถึงแผนการต่อสู้กับกลุ่ม IS ด้วย
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ อาจลดความเข้มข้นในภารกิจต่างแดนลง โดยทรัมป์ย้ำว่า ยุคแห่งการแทรกแซงที่เข้มข้นของสหรัฐฯ ในต่างประเทศได้สิ้นสุดลงแล้ว
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: