โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขยายสงครามการค้าครั้งใหม่ โดยประกาศเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (12 กรกฎาคม) ว่า สหรัฐฯ จะบังคับใช้ กำแพงภาษีในอัตรา 30% ต่อสินค้านำเข้าจาก สหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโก โดยจะมีผลบังคับใช้พร้อมกันในวันที่ 1 สิงหาคมนี้
ทรัมป์ได้เปิดเผยอัตราภาษีใหม่นี้ผ่านจดหมายที่ส่งตรงถึง เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป และคลอเดีย เชนบาม ประธานาธิบดีเม็กซิโก ซึ่งเขาได้นำจดหมายดังกล่าวมาโพสต์บน Truth Social แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตนเอง
ในจดหมายถึงผู้นำเม็กซิโก ทรัมป์ระบุว่า “เม็กซิโกได้ช่วยผมในการรักษาความปลอดภัยชายแดน แต่สิ่งที่เม็กซิโกทำนั้นยังไม่เพียงพอ”
สำหรับสหภาพยุโรป ทรัมป์ระบุในจดหมายว่า สหรัฐฯ จะไม่เก็บภาษีดังกล่าว หากกลุ่มประเทศสมาชิกทั้ง 27 ชาติ “หรือบริษัทภายใน EU ตัดสินใจที่จะสร้างหรือผลิตสินค้าภายในสหรัฐฯ”
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังระบุอีกว่าหาก EU หรือเม็กซิโกตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีที่สูงขึ้น “ไม่ว่าคุณจะเลือกขึ้นภาษีเป็นตัวเลขเท่าใด ตัวเลขนั้นจะถูกบวกเพิ่มเข้าไปในอัตรา 30% ที่เราเรียกเก็บ”
การประกาศครั้งนี้สร้างความผิดหวังให้กับ EU อย่างยิ่ง เนื่องจากก่อนหน้านี้ EU พยายามเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นเป็นอย่างน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นเป้าหมายของมาตรการกำแพงภาษีวงกว้างจากทรัมป์
ผลกระทบวงกว้างต่อ 1 ใน 3 ของสินค้านำเข้าสหรัฐฯ
สหภาพยุโรปและเม็กซิโกถือเป็นคู่ค้าที่สำคัญอย่างยิ่งของสหรัฐฯ โดยข้อมูลจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ระบุว่า ในปี 2565 สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจาก EU คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 5.53 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้าจากเม็กซิโกมีมูลค่าประมาณ 4.548 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่าคู่ค้าทั้งสองกลุ่มนี้ คิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ
เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ทันทีว่า “การเก็บภาษี 30% ต่อสินค้าส่งออกของ EU จะเป็นการทำลายห่วงโซ่อุปทานข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกที่จำเป็น ซึ่งจะส่งผลเสียต่อธุรกิจ ผู้บริโภค และผู้ป่วยทั้งสองฝั่ง”
อย่างไรก็ตาม เธอย้ำว่า EU ยังคงพร้อมที่จะทำงานต่อไปเพื่อบรรลุข้อตกลงภายในวันที่ 1 สิงหาคม แต่ในขณะเดียวกัน “เราจะดำเนินทุกขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของ EU ซึ่งรวมถึงการใช้มาตรการตอบโต้ที่สมส่วนหากจำเป็น”
ด้านรัฐบาลเม็กซิโกออกแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ ระบุว่าคณะผู้แทนได้เข้าพบเจ้าหน้าที่การค้าของสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ (11 กรกฎาคม) เพื่อจัดตั้งคณะทำงานถาวรสำหรับหารือประเด็นสำคัญต่างๆ และได้รับแจ้งในที่ประชุมว่าจะมีการบังคับใช้ภาษีใหม่ในวันที่ 1 สิงหาคม “เราได้แจ้งในที่ประชุมว่านี่เป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมและเราไม่เห็นด้วย” แถลงการณ์ระบุ
การส่งจดหมายเจาะจงรายประเทศ/กลุ่มประเทศในครั้งนี้ ซึ่งมีรายงานว่าทรัมป์ได้ส่งจดหมายลักษณะคล้ายกันไปยังคู่ค้าอีก 23 รายในสัปดาห์นี้ รวมถึง แคนาดา ญี่ปุ่น และบราซิล โดยกำหนดอัตราภาษีตั้งแต่ 20% ถึง 50% จึงเป็นแนวทางใหม่ที่ดูเหมือนจะเน้นการเจรจาเป็นรายกรณีมากขึ้น
สถานการณ์ล่าสุดตอกย้ำว่าทรัมป์กำลังเดินหน้าใช้นโยบายภาษีอย่างเต็มกำลัง โดยก่อนหน้านี้ในวันพฤหัสบดี (10 กรกฎาคม) เขาได้ให้สัมภาษณ์กับ NBC News ว่ามีแผนจะปรับขึ้นอัตราภาษีพื้นฐานทั่วโลก (Global Baseline Rate) ให้สูงถึง 20% สำหรับประเทศที่ยังไม่มีข้อตกลง ทำให้เส้นตายวันที่ 1 สิงหาคมนี้ กลายเป็นวันที่ทั่วโลกต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดถึงทิศทางของสงครามการค้าครั้งใหม่
อ้างอิง: