คณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เริ่มกระบวนการไต่สวนพยานแบบเปิดเผยต่อสาธารณะครั้งแรกเมื่อวานนี้ (13 พฤศจิกายน) เพื่อรวบรวมหลักฐานไปสู่การถอดถอน โดนัลด์ ทรัมป์ จากตำแหน่งประธานาธิบดี โดยสภามีการเบิกพยานปากสำคัญ 2 คน ขึ้นให้การ ท่ามกลางการจับตาของคนอเมริกันทั่วประเทศ
วิลเลียม เทย์เลอร์ รักษาการทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศยูเครน และ จอร์จ เคนต์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่ดูแลนโยบายด้านยูเครน เข้าให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการการข่าวกรองของสภาล่าง โดยพวกเขายืนยันในสิ่งที่เคยให้การระหว่างการไต่สวนในห้องประชุมปิดก่อนหน้านี้ว่า ทรัมป์ได้ร้องขอให้รัฐบาลยูเครนเปิดฉากสอบสวนกรณีการทุจริตของ โจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในยุคสมัยของ บารัก โอบามา ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการเมืองของทรัมป์ในการเลือกตั้งสมัยหน้า
การให้ปากคำของพยานเมื่อวานนี้มีการถ่ายทอดไปทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นการไต่สวนแบบเปิดเผยต่อสาธารณชนครั้งแรก นับตั้งแต่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ที่มี ส.ส.พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากประกาศเริ่มกระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอนทรัมป์อย่างเป็นทางการ จากข้อกล่าวหาใช้อำนาจโดยมิชอบกรณีดึงมือรัฐบาลต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2020
นอกจากบทสนทนาที่ทรัมป์กดดันประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน โดยการขู่ระงับเงินช่วยเหลือทางการทหารจำนวนเกือบ 400 ล้านดอลลาร์ แก่ยูเครน ตามที่สื่อหลายสำนักรายงานไปก่อนหน้านี้แล้ว เทย์เลอร์ยังให้การเพิ่มเติมถึงอีกบทสนทนาที่เป็นหลักฐานใหม่ว่า ทรัมป์พยายามกดดันอย่างต่อเนื่อง ให้ยูเครนประกาศสืบสวนไบเดนอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งผลดีต่อแคมเปญเลือกตั้งของทรัมป์ในปีหน้า
บทสนทนานี้กลายเป็นคำถามสำคัญในระหว่างการไต่สวนของคณะกรรมาธิการวันแรก ซึ่งเทย์เลอร์ให้การว่า เดวิด โฮล์มส์ หนึ่งในคณะทำงานของเขาได้ยินการพูดคุยโทรศัพท์ของ กอร์ดอน ซอนแลนด์ ทูตสหรัฐฯ ประจำสหภาพยุโรป (EU) โดยบังเอิญ ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในกรุงเคียฟ ซึ่งคู่สนทนาปลายทางคือทรัมป์ โดยทรัมป์ได้สอบถามถึงการสอบสวนไบเดน ซึ่งเขาได้รับการตอบกลับทางโทรศัพท์ว่า “ยูเครนพร้อมเดินหน้าสอบสวนเรื่องนี้” จากนั้นผู้ช่วยของเทย์เลอร์ก็นำสิ่งที่ได้ยินมาเล่าให้เขาฟัง
การสนทนาครั้งนั้นมีขึ้นในวันที่ 26 กรกฎาคม หรือหนึ่งวันหลังจากทรัมป์โทร.คุยกับเซเลนสกี เพื่อกดดันผู้นำยูเครนให้ตรวจสอบการทุจริตของไบเดน รวมถึงบุตรชายของเขา ฮันเตอร์ ไบเดน ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บริหารของบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของยูเครน ในช่วงที่พ่อของเขานั่งเก้าอี้รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ
เทย์เลอร์ให้การว่า ผู้ช่วยของเขาได้สอบถามซอนด์แลนด์เกี่ยวกับมุมมองของทรัมป์ที่มีต่อยูเครน ซึ่งซอนด์แลนด์ตอบเขาว่า “ทรัมป์สนใจเกี่ยวกับการสอบสวนไบเดนมากขึ้น” ซึ่ง รูดี้ ยูเลียนี ทนายความส่วนตัวของทรัมป์ มีส่วนสำคัญที่ทำให้ทรัมป์ทำเช่นนั้น
สำหรับโฮล์มส์ ผู้ช่วยของเทย์เลอร์ มีกำหนดเข้าให้การต่อคณะกรรมาธิการสภาล่างในห้องประชุมปิดในวันศุกร์นี้
หลังการไต่สวนวันแรก ทรัมป์ตอบข้อซักถามของสื่อมวลชนเกี่ยวกับกรณีนี้ว่า เขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน และเพิ่งจะได้ยินครั้งแรก โดยทรัมป์ยืนยันว่า เขาจำอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับการคุยโทรศัพท์กับซอนด์แลนด์ตามที่เทย์เลอร์ให้การ
ขณะที่ จอร์จ เคนต์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศฝ่ายนโยบายยุโรปและยูเรเชียของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพยานสำคัญ ได้ให้ปากคำว่า ยูเลียนี ทนายความของทรัมป์เป็นคนที่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับยูเครน โดยในช่วงปี 2018-2019 เขาอยู่เบื้องหลังการผลักดันเอาผิดกับ มารี โยวาโนวิตช์ ทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศยูเครนในเวลานั้น ก่อนที่เธอจะถูกถอดออกจากตำแหน่ง
เคนต์ยังเล่าด้วยว่า อดีตพนักงานอัยการที่ทุจริตในยูเครนหลายคนพยายามส่งข่าวเท็จให้กับยูเลียนีและคนอื่นๆ เพื่อแก้แค้นผู้ที่เคยเปิดโปงความผิดของพวกเขา รวมถึงทูตสหรัฐฯ ด้วย
เคนต์เชื่อว่า ยูเลียนีพยายามผลักดันการสอบสวนโดยมีจุดประสงค์ทางการเมือง เพื่อกดดันให้ประธานาธิบดีเซเลนสกีเข้าพบหรือติดต่อกับทำเนียบขาว
การไต่สวนของคณะกรรมาธิการสภาล่างจะพิจารณาว่า ทรัมป์มีความผิดตามข้อกล่าวหากรณีนำเงินช่วยเหลือยูเครนมาเป็นเครื่องต่อรอง เพื่อแลกกับการที่รัฐบาลยูเครนเปิดฉากสอบสวนไบเดนจริงหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาทรัมป์ยืนกรานปฏิเสธมาโดยตลอด
หากมีหลักฐานเพียงพอ คณะกรรมาธิการจะดำเนินการในขั้นตอนถัดๆ ไป ซึ่งจะนำไปสู่การลงมติถอดถอนทรัมป์ในสภาผู้แทนราษฎรแบบเต็มคณะ อย่างไรก็ตาม เป็นที่คาดว่า ถึงแม้สภาล่างอาจโหวตรับรองให้ถอดถอนทรัมป์ แต่การถอดถอนไม่น่าจะผ่านความเห็นชอบในวุฒิสภา ซึ่งมี ส.ว. พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก โดยในอดีตยังไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใดที่เคยถูกถอดถอนจากตำแหน่งสำเร็จมาก่อน
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: